top of page

ส่องเทคนิคยอดฮิตในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ทำได้อย่างไรบ้าง?


เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช

เทคโนโลยีชีวภาพเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง หนึ่งในเทคนิคที่น่าสนใจและมีการนำไปใช้อย่างกว้างขวางคือ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช (Plant Tissue Culture) ซึ่งเปรียบเสมือนการย่อส่วนกระบวนการเจริญเติบโตของพืชมาไว้ในห้องปฏิบัติการ ช่วยให้เราสามารถขยายพันธุ์พืชได้อย่างรวดเร็ว ผลิตต้นพืชที่แข็งแรง ปลอดโรค หรือแม้กระทั่งสร้างพืชสายพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้นมาได้ บล็อกโพสต์นี้จะพาทุกท่านไปสำรวจโลกอันน่าทึ่งของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ทำความรู้จักกับเทคนิคยอดนิยมต่างๆ พร้อมทั้งเจาะลึกถึงหลักการ ข้อดี ข้อควรพิจารณา และตัวอย่างการนำไปใช้ประโยชน์


การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชคืออะไร?


การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช คือ กระบวนการนำส่วนใดส่วนหนึ่งของพืช ไม่ว่าจะเป็นเซลล์ (cell) เนื้อเยื่อ (tissue) หรืออวัยวะ (organ) เช่น ปลายยอด ตา ข้อ ใบ หรือแม้แต่ชิ้นส่วนเล็กๆ ของลำต้น มาเพาะเลี้ยงบนอาหารสังเคราะห์ (synthetic nutrient medium) ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมอย่างเข้มงวด ทั้งในเรื่องความสะอาด (ปลอดเชื้อ - aseptic condition) อุณหภูมิ แสง และความชื้น เพื่อให้ชิ้นส่วนเหล่านั้นสามารถเจริญเติบโตและพัฒนาเป็นต้นพืชใหม่ที่สมบูรณ์ได้. กระบวนการนี้มักทำในภาชนะปิด เช่น ขวดแก้วหรือจานเพาะเชื้อ จึงมักเรียกว่าเป็นการเพาะเลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ หรือ in vitro culture ซึ่งหมายถึง "ในแก้ว" นั่นเอง. วิธีการนี้แตกต่างจากการขยายพันธุ์แบบดั้งเดิม เช่น การเพาะเมล็ด หรือการปักชำในดิน โดยอาศัยความสามารถพิเศษของเซลล์พืชในการเจริญเติบโตภายใต้สภาวะที่จัดเตรียมขึ้นในห้องปฏิบัติการ   


พลังแห่งเซลล์พืช


หัวใจสำคัญที่ทำให้การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเป็นไปได้ คือ คุณสมบัติที่เรียกว่า โททิโพเทนซี (Totipotency). นี่คือความสามารถอันน่าทึ่งของเซลล์พืชแต่ละเซลล์ (หรือกลุ่มเซลล์เล็กๆ) ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเป็นเนื้อเยื่อ อวัยวะ หรือแม้กระทั่งเจริญเติบโตขึ้นเป็นต้นพืชใหม่ทั้งต้นได้ เมื่ออยู่ในสภาวะแวดล้อมและได้รับสารอาหารที่เหมาะสม. คุณสมบัตินี้แตกต่างจากเซลล์สัตว์ส่วนใหญ่ ซึ่งเมื่อพัฒนาไปเป็นเนื้อเยื่อเฉพาะทางแล้ว มักจะสูญเสียความสามารถในการย้อนกลับไปสร้างอวัยวะอื่นๆ ได้ทั้งหมด ความสามารถในการฟื้นคืนชีพจากเซลล์เพียงเซลล์เดียวนี้เองที่เป็นรากฐานสำคัญ ทำให้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่การขยายพันธุ์จำนวนมาก ไปจนถึงการสร้างพืชปลอดโรคจากเนื้อเยื่อส่วนปลายยอดที่มีขนาดเล็กมาก.   


ความสำคัญในยุคปัจจุบันการเกษตร งานวิจัย และการอนุรักษ์


ในปัจจุบัน การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชไม่ได้เป็นเพียงเทคนิคในห้องทดลองอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่มีบทบาทสำคัญในหลายด้าน ได้แก่


  • การขยายพันธุ์พืชจำนวนมากอย่างรวดเร็ว (Rapid Mass Propagation): สามารถผลิตต้นพืชได้ครั้งละมากๆ ในระยะเวลาอันสั้น จากต้นแม่เพียงต้นเดียวหรือชิ้นส่วนเล็กน้อย. ตัวอย่างเช่น การเพิ่มจำนวนต้นได้ 10 เท่าทุกเดือน ทำให้ในเวลา 3 เดือน สามารถผลิตต้นพันธุ์ได้ถึง 1000 ต้น.   

  • การผลิตพืชปลอดโรค (Production of Disease-Free Plants): โดยเฉพาะการกำจัดเชื้อไวรัส ไฟโตพลาสมา หรือแบคทีเรีย ที่มักสะสมอยู่ในต้นแม่พันธุ์ที่ขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศมานาน การเลือกใช้เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายยอด (Meristem Culture) ซึ่งมักจะปลอดเชื้อ สามารถสร้างต้นพันธุ์ที่สะอาด แข็งแรง และให้ผลผลิตสูง.   

  • การผลิตพืชได้ตลอดทั้งปี (Year-Round Production): ไม่ขึ้นกับฤดูกาล ทำให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตและมีผลผลิตที่สม่ำเสมอ.   

  • การอนุรักษ์พันธุ์พืชหายากและใกล้สูญพันธุ์ (Conservation of Rare/Endangered Species): เป็นวิธีการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืช (Germplasm conservation) ที่มีประสิทธิภาพ ใช้พื้นที่น้อย และสามารถเก็บรักษาได้ในระยะยาว.   

  • การปรับปรุงพันธุ์พืช (Plant Improvement/Breeding Support): ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในงานปรับปรุงพันธุ์ เช่น การสร้างพืชสายพันธุ์แท้ (โดยการเพาะเลี้ยงอับละอองเรณู) การคัดเลือกสายพันธุ์ที่ทนทานต่อสภาวะแวดล้อม หรือการสร้างพืชดัดแปลงพันธุกรรม (Genetic Engineering).   

  • การผลิตสารทุติยภูมิ (Production of Secondary Metabolites): ใช้เพาะเลี้ยงเซลล์พืชสมุนไพรเพื่อผลิตสารสำคัญทางยา เครื่องสำอาง หรือสารปรุงแต่งต่างๆ ที่มีมูลค่าสูง.   

  • การศึกษาวิจัยพื้นฐาน (Basic Research): ใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาชีววิทยา สรีรวิทยา และพันธุศาสตร์ของพืชในระดับเซลล์.   


ภาพรวมเทคนิคหลากหลาย ไม่มีวิธีใดวิธีหนึ่งที่เหมาะกับทุกอย่าง


คำว่า "การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช" นั้น เป็นคำเรียกรวมๆ ของกลุ่มเทคนิคที่หลากหลาย. แต่ละเทคนิคก็มีวิธีการ ขั้นตอน วัตถุประสงค์ และความเหมาะสมกับชนิดพืชหรือเป้าหมายที่แตกต่างกันไป ในบทความนี้ เราจะเน้นไปที่เทคนิคยอดนิยม 3 วิธีหลัก ได้แก่ การเพาะเลี้ยงข้อหรือตา (Node Culture) การเพาะเลี้ยงปลายยอด (Shoot Tip/Meristem Culture) และการเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอย (Cell Suspension Culture) นอกจากนี้ จะกล่าวถึงเทคนิคอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น การเพาะเลี้ยงอับละอองเรณู (Anther Culture) และการสร้างต้นจากแคลลัส (Callus Culture) พอสังเขป เพื่อให้เห็นภาพรวมของความหลากหลายในสาขานี้. การเลือกใช้เทคนิคใดนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการอะไรเป็นหลัก เช่น ต้องการแค่ขยายพันธุ์ให้ได้จำนวนมากและตรงตามพันธุ์เดิม หรือต้องการกำจัดไวรัส หรือต้องการผลิตสารเคมีจากเซลล์พืช เป็นต้น   


อย่างไรก็ตาม แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชก็มีข้อจำกัดสำคัญคือ ความจำเป็นในการควบคุมสภาพแวดล้อมอย่างเข้มงวด ทั้งในเรื่องความปลอดเชื้อ (aseptic conditions) และสภาวะการเลี้ยง (อุณหภูมิ แสง อาหาร). การทำงานต้องทำในตู้ปลอดเชื้อ (laminar flow hood) อุปกรณ์เครื่องแก้วและอาหารเลี้ยงต้องผ่านการนึ่งฆ่าเชื้อด้วยหม้อนึ่งความดัน (autoclave) และต้องมีห้องเลี้ยงที่ควบคุมอุณหภูมิและแสงได้อย่างเหมาะสม. ข้อกำหนดเหล่านี้ทำให้การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชต้องอาศัยห้องปฏิบัติการที่มีอุปกรณ์เฉพาะทาง บุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญ และมีต้นทุนในการดำเนินการที่สูงกว่าวิธีการขยายพันธุ์แบบดั้งเดิมอย่างชัดเจน. นี่จึงเป็นข้อพิจารณาสำคัญสำหรับผู้ที่สนใจจะนำเทคนิคนี้ไปใช้   


1. การเพาะเลี้ยงข้อหรือตา


การเพาะเลี้ยงข้อหรือตา (Node Culture) เป็นหนึ่งในเทคนิคพื้นฐานและนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการขยายพันธุ์พืชในสภาพปลอดเชื้อ หลักการสำคัญคือการนำส่วนของลำต้นที่มี "ข้อ" (node) ซึ่งเป็นบริเวณที่มี "ตาข้าง" (axillary bud) ติดอยู่ มาเพาะเลี้ยง. ตาข้างนี้คือกลุ่มเนื้อเยื่อเจริญที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นกิ่งหรือยอดใหม่ได้อยู่แล้วตามธรรมชาติ เทคนิคนี้จึงเปรียบเสมือนการกระตุ้นให้ตาข้างเหล่านี้แตกออกมาเป็นยอดใหม่ในสภาพปลอดเชื้อนั่นเอง   


ขั้นตอนโดยทั่วไปมีดังนี้ :   


  1. การเลือกและเตรียมชิ้นส่วนพืช (Explant Selection and Preparation): เลือกกิ่งหรือลำต้นจากต้นแม่พันธุ์ที่สมบูรณ์ แข็งแรง ปราศจากโรคและแมลง ตัดส่วนของลำต้นให้มีข้อและตาติดอยู่ ความยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร ลิดใบออก

  2. การฟอกฆ่าเชื้อที่ผิว (Surface Sterilization): นำชิ้นส่วนข้อที่ได้มาล้างทำความสะอาด และทำการฟอกฆ่าเชื้อที่ผิวภายนอกด้วยสารเคมี เช่น เอทานอล 70% ตามด้วยสารละลายโซเดียมไฮโปคลอไรท์ (เช่น Clorox® เจือจาง) หรือแคลเซียมไฮโปคลอไรท์ ในระยะเวลาและความเข้มข้นที่เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด เพื่อกำจัดจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนบนผิวพืช. จากนั้นล้างด้วยน้ำกลั่นที่นึ่งฆ่าเชื้อแล้วหลายๆ ครั้ง   

  3. การเพาะเลี้ยงบนอาหาร (Culture Initiation): ย้ายชิ้นส่วนข้อที่ผ่านการฟอกฆ่าเชื้อแล้วลงบนอาหารสังเคราะห์สูตรที่เหมาะสม (เช่น สูตร MS - Murashige and Skoog) ซึ่งมักจะเติมสารควบคุมการเจริญเติบโตในกลุ่ม ไซโทไคนิน (Cytokinin) เช่น BA (Benzyladenine) หรือ Kinetin เพื่อกระตุ้นให้ตาข้างแตกออกมาเป็นยอดใหม่.   

  4. การเพิ่มจำนวนยอด (Shoot Multiplication): เมื่อตาเดิมเจริญเป็นยอดใหม่แล้ว สามารถตัดแบ่งยอดนั้นออกเป็นข้อๆ แล้วนำไปเลี้ยงบนอาหารสูตรเดิมหรือปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มจำนวนยอดให้มากขึ้น ทำซ้ำขั้นตอนนี้ (subculture) ไปเรื่อยๆ จนได้จำนวนยอดตามที่ต้องการ.   

  5. การชักนำให้เกิดราก (Rooting): นำยอดที่ได้จากการเพิ่มจำนวนมาเลี้ยงบนอาหารสูตรที่ชักนำให้เกิดราก ซึ่งอาจเป็นอาหารที่ไม่เติมสารควบคุมการเจริญเติบโต หรือเติมสารในกลุ่ม ออกซิน (Auxin) เช่น IBA (Indole-3-butyric acid) หรือ NAA (α-Naphthaleneacetic acid) ในระดับต่ำๆ เพื่อกระตุ้นการสร้างราก.   

  6. การย้ายปลูกและปรับสภาพ (Acclimatization): เมื่อต้นพืชมีทั้งยอดและรากสมบูรณ์แล้ว (เรียกว่า plantlet) จึงนำออกจากขวด ล้างวุ้นออกให้สะอาด แล้วนำไปปลูกในวัสดุปลูกที่สะอาด เช่น พีทมอส เวอร์มิคูไลท์ หรือขุยมะพร้าว ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูงและแสงไม่จัดมากนัก ค่อยๆ ลดความชื้นลงเพื่อให้พืชปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมภายนอกห้องปฏิบัติการได้.   


ข้อดี

  • ความคงทนทางพันธุกรรมสูง (High Genetic Stability): เนื่องจากเป็นการกระตุ้นการเจริญเติบโตของตาที่มีอยู่เดิม ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการสร้างแคลลัส (กลุ่มเซลล์ที่ยังไม่พัฒนา) ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อการกลายพันธุ์ (somaclonal variation) มากกว่า ทำให้ต้นพืชที่ได้มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ทุกประการ (true-to-type). นี่เป็นข้อดีสำคัญเมื่อต้องการขยายพันธุ์พืชพันธุ์ดีให้คงลักษณะเดิมไว้   

  • เทคนิคไม่ซับซ้อนมาก (Relatively Simple Technique): เมื่อเทียบกับเทคนิคอื่น เช่น การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายยอด หรือการเพาะเลี้ยงโปรโตพลาสต์ การเพาะเลี้ยงข้อถือว่าทำได้ง่ายกว่า และมีอัตราการรอดชีวิตของชิ้นส่วนเริ่มต้นสูงกว่า

  • ใช้ได้กับพืชหลากหลายชนิด (Wide Applicability): เทคนิคนี้ประสบความสำเร็จในการขยายพันธุ์พืชหลายกลุ่ม ตั้งแต่ไม้ล้มลุก ไม้ประดับ ไม้ผล ไปจนถึงไม้เนื้อแข็งบางชนิด ดังตัวอย่างที่พบในงานวิจัยต่างๆ เช่น ไผ่ , หนอนตายหยาก , กล้วยไม้หางช้าง , มันเสา , จอกหินตะนาวศรี , ไฮเดรนเยีย , ส่องฟ้า , กุหลาบหนู , มันป่า , และมะเขือเทศ.   


ข้อควรพิจารณา

  • อัตราการเพิ่มจำนวน (Multiplication Rate): แม้จะเชื่อถือได้ แต่ในบางกรณี อัตราการเพิ่มจำนวนยอดต่อหน่วยเวลาอาจไม่สูงเท่ากับเทคนิคที่สามารถชักนำให้เกิดยอดจำนวนมากจากแคลลัสหรือเซลล์แขวนลอยได้

  • ความแปรปรวนในการตอบสนอง (Variability in Response): ชนิดและความเข้มข้นของฮอร์โมนที่เหมาะสม รวมถึงสูตรอาหาร อาจแตกต่างกันไปอย่างมากในพืชแต่ละชนิด หรือแม้แต่ต่างสายพันธุ์กัน. การทดลองเพื่อหาสภาวะที่เหมาะสม (optimization) จึงยังคงเป็นสิ่งจำเป็น   

  • ไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคภายในระบบท่อลำเลียง (Does Not Eliminate Systemic Pathogens): หากต้นแม่พันธุ์มีการติดเชื้อโรคที่อยู่ในระบบท่อลำเลียง เช่น ไวรัส การเพาะเลี้ยงข้อซึ่งใช้ชิ้นส่วนที่มีเนื้อเยื่อท่อลำเลียงอยู่แล้ว จะไม่สามารถกำจัดเชื้อเหล่านั้นออกไปได้ ต้นใหม่ที่ได้ก็จะยังคงมีเชื้อโรคติดไปด้วย ซึ่งต่างจากเทคนิคการเพาะเลี้ยงปลายยอด.   

  • ยังคงต้องการความชำนาญและสภาพปลอดเชื้อ (Requires Skill and Aseptic Conditions): แม้จะง่ายกว่าเทคนิคอื่น แต่ก็ยังต้องอาศัยความระมัดระวังในการปฏิบัติงานในสภาพปลอดเชื้อ และการควบคุมสภาพแวดล้อมในการเลี้ยง


การที่เทคนิคนี้อาศัยตาข้างที่มีอยู่เดิมเป็นจุดเริ่มต้น ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ได้ต้นพืชที่ตรงตามพันธุ์แม่. ตาข้างเป็นกลุ่ม

เนื้อเยื่อเจริญที่มีการจัดระเบียบโครงสร้างไว้อยู่แล้ว การกระตุ้นให้ตาเหล่านี้เจริญเป็นยอดจึงเป็นการดำเนินไปตามแบบแผนพัฒนาการที่มีอยู่เดิม ลดโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดทางพันธุกรรมที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการสร้างอวัยวะขึ้นใหม่จากเซลล์ที่ไม่มีการจัดระเบียบ เช่น แคลลัส ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิด somaclonal variation สูงกว่า. นอกจากนี้ ความสำเร็จของการเพาะเลี้ยงข้อมักขึ้นอยู่กับการจัดการสมดุลฮอร์โมน โดยเฉพาะการใช้ไซโทไคนิน (เช่น BA, Kinetin) เพื่อเอาชนะอิทธิพลการข่มของตายอด (apical dominance) ที่มีอยู่ในต้นพืชตามธรรมชาติ และกระตุ้นให้ตาข้างหลายๆ ตาพร้อมใจกันแตกออกมาเป็นยอดใหม่ในสภาพ in vitro. การปรับความเข้มข้นและชนิดของไซโทไคนินให้เหมาะสมจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้   


ตัวอย่างพืชที่นิยม (Examples of Popular Plants)

เทคนิคการเพาะเลี้ยงข้อหรือตาถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางกับพืชหลากหลายชนิด ตัวอย่างเช่น:

  • ไม้ประดับ: กล้วยไม้ (เช่น กล้วยไม้หางช้าง ), ไฮเดรนเยีย , กุหลาบหนู , ฟิโลเดนดรอน, มอนสเตอร่า, หน้าวัว, เยอบีร่า   

  • พืชสมุนไพร: หนอนตายหยาก (Stemona collinsae) , ส่องฟ้า (Clausena heptaphylla) , รางจืด (Thunbergia laurifolia) , โหระพา, สะระแหน่   

  • พืชอาหาร: มันเสา (Dioscorea alata) , มันป่า (Dioscorea spp.) , มะเขือเทศ , กล้วย, สับปะรด, สตรอว์เบอร์รี่   

  • ไม้ใช้สอย: ไผ่ , ยูคาลิปตัส   


2. การเพาะเลี้ยงปลายยอด


การเพาะเลี้ยงปลายยอด หรือ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเจริญ (Shoot Tip/Meristem Culture) เป็นเทคนิคที่มีความเฉพาะเจาะจงสูง โดยใช้ชิ้นส่วนที่เล็กมากๆ จาก ปลายสุดของยอด (apical meristem) ซึ่งเป็นกลุ่มเซลล์ที่มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ร่วมกับใบอ่อนที่เพิ่งเริ่มสร้างขึ้น (leaf primordia) เพียงไม่กี่ใบ. ขนาดของชิ้นส่วนที่ใช้โดยทั่วไปมีขนาดเล็กมากเพียง 0.1-0.5 มิลลิเมตรเท่านั้น.   


หัวใจสำคัญของเทคนิคนี้อยู่ที่ข้อเท็จจริงทางชีววิทยาที่ว่า บริเวณเนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายยอดสุดนี้ มักจะปลอดจากเชื้อโรคที่อาศัยอยู่ในระบบท่อลำเลียงของพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อไวรัส. เหตุผลหลักคือ บริเวณปลายยอดสุดนี้ยังไม่มีการพัฒนาของเนื้อเยื่อท่อลำเลียง (vascular tissue) ที่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการเคลื่อนที่ของไวรัส ประกอบกับเซลล์ในบริเวณนี้มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไวรัสอาจแพร่กระจายตามไปไม่ทัน.   


ขั้นตอนการเพาะเลี้ยงปลายยอดมีความละเอียดอ่อนและต้องการความชำนาญสูงกว่าการเพาะเลี้ยงข้อ:

  1. การเตรียมต้นแม่พันธุ์: อาจมีการนำต้นแม่พันธุ์ไปผ่านกรรมวิธีลดปริมาณไวรัสเบื้องต้น เช่น การให้ความร้อน (thermotherapy) โดยการปลูกเลี้ยงในสภาพอุณหภูมิสูง หรือแช่ในน้ำร้อน เพื่อยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสและกระตุ้นการเจริญของยอดใหม่ ก่อนนำมาตัดปลายยอด.   

  2. การตัดแยกเนื้อเยื่อเจริญ (Meristem Dissection): ขั้นตอนนี้ต้องทำภายใต้กล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูง (stereo microscope). ใช้ใบมีดผ่าตัดขนาดเล็ก หรือเครื่องมือพิเศษ ค่อยๆ ลอกใบที่ห่อหุ้มยอดออกทีละชั้น จนกระทั่งเห็นส่วนของเนื้อเยื่อเจริญปลายยอด (apical dome) และใบอ่อน (leaf primordia) 2-4 ใบ แล้วจึงตัดส่วนนี้ออกมาอย่างระมัดระวัง ไม่ให้สัมผัสกับเนื้อเยื่อส่วนอื่นที่อาจมีเชื้อไวรัสปนเปื้อน.   

  3. การเพาะเลี้ยงบนอาหาร (Culture Initiation): นำชิ้นเนื้อเยื่อเจริญที่ตัดได้วางลงบนอาหารสังเคราะห์สูตรที่เหมาะสม ซึ่งมักจะต้องมีการปรับปรุงให้มีสารอาหารและฮอร์โมนที่เฉพาะเจาะจง เพื่อส่งเสริมการรอดชีวิตและการเจริญเติบโตของชิ้นส่วนที่มีขนาดเล็กมาก อาจมีการใช้ฮอร์โมนกลุ่มไซโทไคนินร่วมกับจิบเบอเรลลิน (Gibberellin, GA3) เพื่อช่วยในการยืดตัวของยอด.   

  4. การพัฒนาเป็นยอดและเพิ่มจำนวน (Shoot Development and Multiplication): ชิ้นเนื้อเยื่อเจริญจะค่อยๆ พัฒนาเป็นยอดขนาดเล็ก ซึ่งสามารถนำไปเพิ่มจำนวนต่อได้คล้ายกับวิธีเพาะเลี้ยงข้อ แต่การเจริญเติบโตในระยะแรกอาจค่อนข้างช้า

  5. การชักนำรากและการปรับสภาพ (Rooting and Acclimatization): ดำเนินการเช่นเดียวกับการเพาะเลี้ยงข้อ เพื่อให้ได้ต้นที่สมบูรณ์พร้อมย้ายปลูก


ความแตกต่างระหว่าง "Meristem Culture" ที่แท้จริง (ใช้เฉพาะส่วน apical dome ขนาด ~0.1 มม.) กับ "Shoot Tip Culture" (ใช้ apical dome ร่วมกับใบอ่อน 2-4 ใบ ขนาด 0.2-0.5 มม. หรือใหญ่กว่า) เป็นเรื่องที่ควรทราบ. การเพาะเลี้ยงเฉพาะ meristem แท้ๆ นั้นทำได้ยากมาก มีอัตราการรอดต่ำ แต่มีโอกาสปลอดไวรัสสูงสุดตามทฤษฎี ในทางปฏิบัติ การเพาะเลี้ยง Shoot Tip จึงนิยมทำกันมากกว่า เพราะทำได้ง่ายกว่าและมีอัตราการรอดสูงกว่า แม้ว่าโอกาสในการกำจัดไวรัสอาจลดลงเล็กน้อยก็ตาม. นี่คือตัวอย่างของการปรับเทคนิคเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพทางทฤษฎีและความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ   


จุดเด่น: การกำจัดเชื้อไวรัส


นี่คือเหตุผลหลักและประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการเพาะเลี้ยงปลายยอด. พืชเศรษฐกิจหลายชนิดที่นิยมขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ (vegetative propagation) เช่น มันฝรั่ง กล้วย กระเทียม สตรอว์เบอร์รี่ ไม้ดอกไม้ประดับต่างๆ มักประสบปัญหาการสะสมเชื้อไวรัสจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งส่งผลให้ต้นพืชอ่อนแอ โทรมเร็ว และให้ผลผลิตลดลงอย่างมาก. ปัจจุบันยังไม่มีสารเคมีหรือวิธีการใดที่สามารถกำจัดไวรัสออกจากต้นพืชที่ติดเชื้อแล้วได้อย่างมีประสิทธิภาพในแปลงปลูก. เทคนิคการเพาะเลี้ยงปลายยอดจึงเปรียบเสมือน "การซักล้าง" หรือ "การทำความสะอาด" พันธุ์พืช เพื่อสร้าง ต้นแม่พันธุ์หลักที่ปราศจากไวรัส (virus-free mother stock) สำหรับนำไปขยายพันธุ์ต่อในเชิงการค้า. ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรคใบด่าง , การผลิตต้นตอองุ่นปลอดไวรัส , และการผลิตเหง้าขมิ้นชันปลอดโรค.   


กลไกทางชีววิทยาที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ การที่ไวรัสมักเคลื่อนที่ในพืชผ่านทางท่อลำเลียงอาหาร (phloem) เป็นหลัก ซึ่งท่อลำเลียงเหล่านี้ยังพัฒนาไปไม่ถึงส่วนปลายสุดของเนื้อเยื่อเจริญ. นอกจากนี้ อัตราการแบ่งเซลล์ที่รวดเร็วของเนื้อเยื่อเจริญอาจเร็วกว่าอัตราการเพิ่มจำนวนและการแพร่กระจายของไวรัส ทำให้เซลล์ใหม่ที่เกิดขึ้นบริเวณปลายยอดสุดยังคงปลอดเชื้ออยู่.   


ข้อดีอื่นๆ


นอกเหนือจากการกำจัดไวรัสแล้ว เทคนิคนี้ยังมีข้อดีอื่นๆ คือ

  • การขยายพันธุ์พืชปลอดโรค (Propagation of Clean Material): หลังจากได้ต้นที่ปลอดไวรัสแล้ว ก็สามารถนำต้นนั้นมาขยายพันธุ์ต่อในสภาพปลอดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว.   

  • ความคงทนทางพันธุกรรม (Genetic Stability): เนื่องจากเริ่มต้นจากเนื้อเยื่อเจริญที่มีการจัดระเบียบแล้ว ต้นพืชที่ได้จึงมีลักษณะทางพันธุกรรมตรงตามพันธุ์เดิม.   

  • การอนุรักษ์เชื้อพันธุ์ (Germplasm Conservation): สามารถใช้เก็บรักษาพันธุ์พืชในสภาพปลอดโรค ซึ่งเหมาะสำหรับการเก็บในธนาคารเชื้อพันธุ์พืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บรักษาในไนโตรเจนเหลว (cryopreservation).   


ข้อควรพิจารณา


  • ความต้องการทักษะสูง (Technically Demanding): การตัดแยกชิ้นเนื้อเยื่อที่มีขนาดเล็กมากต้องอาศัยความชำนาญ ประสบการณ์ และอุปกรณ์พิเศษ เช่น กล้องจุลทรรศน์และเครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็ก.   

  • อัตราการรอดชีวิตต่ำและการเจริญเติบโตช้า (Lower Survival Rate and Slow Initial Growth): ชิ้นส่วนเริ่มต้นมีขนาดเล็กมาก ทำให้บอบช้ำง่ายและมีอัตราการรอดชีวิตต่ำกว่าการใช้ชิ้นส่วนที่ใหญ่กว่า เช่น ข้อหรือตา การเจริญเติบโตในระยะแรกจึงค่อนข้างช้า.   

  • ต้องการการปรับปรุงสูตรอาหารเฉพาะ (Requires Specific Media Optimization): การหาสูตรอาหารและสภาวะที่เหมาะสมกับการรอดชีวิตและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อเจริญแต่ละชนิดเป็นสิ่งสำคัญและต้องมีการทดลองปรับปรุง

  • ไม่รับประกันการปลอดไวรัส 100% (Does Not Guarantee 100% Virus Elimination): แม้จะมีโอกาสสูง แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าต้นที่ได้จะปลอดไวรัสเสมอไป ขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัส พืชเจ้าบ้าน ขนาดของชิ้นส่วนที่ตัด และปัจจัยอื่นๆ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการ ตรวจสอบการปลอดไวรัส หลังการเพาะเลี้ยงโดยใช้เทคนิคที่น่าเชื่อถือ เช่น เทคนิคทางซีรั่มวิทยา (serology) หรือเทคนิคทางอณูชีววิทยา เช่น PCR (Polymerase Chain Reaction) ก่อนนำไปใช้ประโยชน์ต่อ. การที่ต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมนี้ แสดงให้เห็นว่าเทคนิคนี้ไม่ใช่กระบวนการที่สมบูรณ์แบบในตัวเองเสมอไป และอาจต้องใช้ร่วมกับมาตรการอื่น เช่น การให้ความร้อน  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดไวรัส   


ตัวอย่างพืชที่นิยม (Examples of Popular Plants)


เทคนิคการเพาะเลี้ยงปลายยอดนิยมใช้กับพืชหลายชนิด โดยเฉพาะพืชที่ขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศและมีปัญหาเรื่องโรคไวรัสสะสม ได้แก่:

  • พืชหัว: มันฝรั่ง , กระเทียม , มันเทศ , มันสำปะหลัง , มันป่า/มันพื้นเมือง (Dioscorea spp.) , ขมิ้นชัน    

  • ไม้ผล: กล้วย , สตรอว์เบอร์รี่ , สับปะรด , องุ่น (สำหรับผลิตต้นตอ)    

  • ไม้ดอกไม้ประดับ: กล้วยไม้ , คาร์เนชั่น , เบญจมาศ , เยอบีร่า , ไม้ใบประดับต่างๆ เช่น สกุล Philodendron, Monstera, Alocasia, Syngonium    


3. การเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอย


การเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอยเป็นเทคนิคที่แตกต่างจากการเพาะเลี้ยงบนอาหารแข็งหรือกึ่งแข็ง โดยเป็นการเพาะเลี้ยง เซลล์เดี่ยว (single cells) หรือ กลุ่มเซลล์ขนาดเล็ก (small cell aggregates) ให้เจริญเติบโตและแบ่งตัวกระจายอยู่ใน อาหารเลี้ยงชนิดเหลว (liquid nutrient medium).   


การเริ่มต้นเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอยส่วนใหญ่มักจะเริ่มจาก แคลลัส (callus) โดยเฉพาะแคลลัสชนิดที่เซลล์เกาะกันอย่างหลวมๆ หรือที่เรียกว่า friable callus. แคลลัสชนิดนี้จะสามารถแตกตัวและกระจายเซลล์ออกไปในอาหารเหลวได้ง่ายกว่าแคลลัสที่เกาะกันแน่น (compact callus). คุณภาพของแคลลัสเริ่มต้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการสร้างเซลล์แขวนลอยที่ดี.   


ขั้นตอนหลักๆ ในการเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอย ได้แก่ :   


  1. การสร้างแคลลัสชนิด Friable (Initiation of Friable Callus): ชักนำให้เกิดแคลลัสจากชิ้นส่วนพืชที่เหมาะสมบนอาหารแข็ง และคัดเลือกแคลลัสที่มีลักษณะอ่อนนุ่ม แตกง่าย

  2. การย้ายลงอาหารเหลว (Transfer to Liquid Medium): นำก้อนแคลลัสที่คัดเลือกไว้ใส่ลงในภาชนะ (เช่น ฟลาสก์) ที่บรรจุอาหารเลี้ยงสูตรเหลวที่เหมาะสม

  3. การเขย่าหรือกวน (Agitation): นำภาชนะเพาะเลี้ยงไปวางบนเครื่องเขย่า (orbital shaker) หรือใช้ระบบกวนในถังปฏิกรณ์ชีวภาพ (bioreactor) เพื่อให้เกิดการเคลื่อนที่ของอาหารและเซลล์อยู่ตลอดเวลา. การเขย่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อ:

    • ให้ออกซิเจนแก่เซลล์ (Aeration): เซลล์พืชต้องการออกซิเจนในการหายใจ

    • กระจายสารอาหาร (Nutrient Distribution): ให้เซลล์ทุกส่วนสัมผัสกับสารอาหารอย่างทั่วถึง

    • ป้องกันเซลล์เกาะกลุ่มหรือตกตะกอน (Prevent Aggregation/Settling): ช่วยให้เซลล์กระจายตัว และป้องกันการตกตะกอนซึ่งอาจทำให้เซลล์ด้านล่างขาดออกซิเจนและสารอาหาร.   

    • ลดการสะสมสารพิษเฉพาะที่ (Reduce Local Toxin Accumulation)

  4. การเลี้ยงและย้ายอาหาร (Subculturing): เลี้ยงเซลล์ในสภาวะควบคุม (อุณหภูมิ, แสง-ถ้าจำเป็น) และทำการย้ายเลี้ยง (subculture) เป็นระยะๆ (เช่น ทุก 7-10 วัน ) โดยการดูดเอาส่วนหนึ่งของเซลล์แขวนลอย (aliquot) ไปใส่ในอาหารเหลวใหม่ เพื่อให้เซลล์มีอาหารเพียงพอต่อการเจริญเติบโตและแบ่งตัวต่อไป   


การนำไปใช้ประโยชน์ (Applications)


การเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอยเปิดประตูสู่การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพพืชในเชิงอุตสาหกรรมและการวิจัยพื้นฐานมากขึ้น การใช้งานหลักๆ ได้แก่:


  • การผลิตสารทุติยภูมิ (Production of Secondary Metabolites): นี่คือหนึ่งในการประยุกต์ใช้ที่สำคัญที่สุด เซลล์พืชในอาหารเหลวสามารถถูกชักนำให้ผลิตสารประกอบที่มีมูลค่าสูง เช่น สารสำคัญทางยา (pharmaceuticals), สารปรุงแต่งกลิ่นรส (flavors), สี (pigments), หรือสารกำจัดศัตรูพืช (pesticides). ตัวอย่างเช่น การผลิตสาร Shikonin จากเซลล์ Lithospermum, Ginsenosides จากเซลล์โสม (Panax ginseng), Taxol จากเซลล์ Taxus, Berberine จากเซลล์ Coptis, Diosgenin จากเซลล์เอื้องหมายนา (Costus speciosus) , สารต้านอนุมูลอิสระจากเซลล์รางจืด (Thunbergia laurifolia) , หรือสารกลุ่มแอนโทไซยานินและฟีนอลิกจากเซลล์กระเจี๊ยบแดง (Hibiscus sabdariffa). การผลิตด้วยวิธีนี้สามารถควบคุมคุณภาพและปริมาณได้ดีกว่าการปลูกในไร่นา ซึ่งผลผลิตมักผันแปรตามสภาพแวดล้อม.   

  • การศึกษาวิจัยพื้นฐาน (Basic Research): เซลล์แขวนลอยเป็นระบบที่ดีเยี่ยมสำหรับการศึกษาชีววิทยาของเซลล์พืชในระดับพื้นฐาน เช่น กระบวนการเมแทบอลิซึม (metabolism), การทำงานของเอนไซม์, การแสดงออกของยีน (gene expression), สรีรวิทยาของเซลล์ และการตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ. ความสม่ำเสมอของเซลล์ในระบบทำให้ง่ายต่อการทดลองและตีความผล   

  • การผลิตในถังปฏิกรณ์ชีวภาพ (Bioreactor Scale-Up): ระบบอาหารเหลวเอื้อต่อการขยายขนาดการผลิตจากระดับห้องปฏิบัติการ (ฟลาสก์) ไปสู่ระดับอุตสาหกรรมในถังปฏิกรณ์ชีวภาพ (bioreactors) ขนาดใหญ่ ซึ่งคล้ายคลึงกับกระบวนการหมัก (fermentation) ที่ใช้กับจุลินทรีย์. นี่คือการเปลี่ยนเซลล์พืชให้กลายเป็น "โรงงานชีวภาพ" (bio-factories) สำหรับผลิตสารเคมีที่ต้องการ.   

  • แหล่งของโปรโตพลาสต์ (Source for Protoplasts): เซลล์แขวนลอยที่เจริญเติบโตดีเป็นแหล่งที่ดีในการนำไปย่อยผนังเซลล์ออกด้วยเอนไซม์ เพื่อให้ได้โปรโตพลาสต์ (protoplast) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ไม่มีผนังเซลล์ ใช้สำหรับงานด้านพันธุวิศวกรรม เช่น การส่งถ่ายยีน (gene transfer) หรือการรวมโปรโตพลาสต์ (protoplast fusion) เพื่อสร้างพืชลูกผสม.   


ข้อดี


  • ความสม่ำเสมอของเซลล์ (Cell Uniformity): เซลล์ในระบบแขวนลอยมักมีความสม่ำเสมอมากกว่าในแคลลัสบนอาหารแข็ง ทำให้ง่ายต่อการศึกษาและควบคุมการทดลอง

  • การควบคุมสภาวะแวดล้อมที่แม่นยำ (Precise Environmental Control): สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ เช่น องค์ประกอบของอาหาร, pH, อุณหภูมิ, และการให้ออกซิเจน ได้อย่างแม่นยำ.   

  • ศักยภาพในการขยายขนาด (Scalability): ง่ายต่อการเพิ่มปริมาณการผลิตในถังปฏิกรณ์ชีวภาพขนาดใหญ่

  • อัตราการเจริญเติบโตที่อาจเร็วกว่า (Potentially Faster Growth Rate): ในบางกรณี เซลล์ในอาหารเหลวอาจมีอัตราการแบ่งตัวและเพิ่มจำนวนเร็วกว่าแคลลัสบนอาหารแข็ง เนื่องจากสามารถเข้าถึงสารอาหารและออกซิเจนได้ดีกว่า.   

  • การเก็บเกี่ยวสารที่หลั่งออกมา (Harvesting Secreted Products): หากเซลล์ผลิตและหลั่งสารที่ต้องการออกมานอกเซลล์สู่อาหารเหลว ก็สามารถเก็บเกี่ยวสารนั้นได้ง่ายขึ้น


ข้อควรพิจารณา


  • ต้องการอุปกรณ์เฉพาะทาง (Requires Specialized Equipment): จำเป็นต้องมีเครื่องเขย่า หรือถังปฏิกรณ์ชีวภาพ ซึ่งเป็นการลงทุนเพิ่มเติม.   

  • ความเสี่ยงสูงต่อการปนเปื้อน (High Contamination Risk): เนื่องจากเป็นระบบเปิดและมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา หากเกิดการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์เพียงเล็กน้อย เชื้อจะสามารถแพร่กระจายไปทั่วทั้งระบบได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความเสียหายทั้งหมดได้ง่าย.   

  • ความเสียหายจากแรงเฉือน (Shear Stress Damage): การเขย่าหรือกวนที่แรงเกินไปอาจทำให้เซลล์พืชซึ่งมีขนาดใหญ่และมีผนังเซลล์ที่อาจไม่แข็งแรงเท่าจุลินทรีย์ เกิดความเสียหายทางกายภาพได้.   

  • การเกาะกลุ่มของเซลล์ (Cell Aggregation): เซลล์พืชมีแนวโน้มที่จะเกาะกลุ่มกันเป็นก้อนใหญ่ หรือเกาะติดกับผนังภาชนะ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการแลกเปลี่ยนก๊าซและสารอาหาร.   

  • ความไม่เสถียรทางพันธุกรรม (Genetic Instability): เซลล์ในระบบแขวนลอยอาจมีความไม่เสถียรทางพันธุกรรมสูง เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครโมโซมหรือการกลายพันธุ์ (somaclonal variation) ได้ง่ายกว่าเซลล์ในเนื้อเยื่อที่มีการจัดระเบียบ.   

  • ผลผลิตสารทุติยภูมิต่ำ (Low Secondary Metabolite Yield): บ่อยครั้งที่เซลล์แขวนลอยซึ่งเป็นเซลล์ที่ยังไม่พัฒนาเต็มที่ (undifferentiated) จะผลิตสารทุติยภูมิได้ในปริมาณที่น้อยกว่าที่พบในต้นพืชปกติ หรือในเนื้อเยื่อที่มีการพัฒนาเฉพาะทาง. เนื่องจากกระบวนการสังเคราะห์และสะสมสารเหล่านี้ในพืชมักมีความซับซ้อน เกี่ยวข้องกับอวัยวะหรือเนื้อเยื่อเฉพาะ และถูกควบคุมโดยปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งสภาวะในเซลล์แขวนลอยอาจไม่เอื้ออำนวยเท่าที่ควร การเพิ่มผลผลิตจึงมักต้องอาศัยเทคนิคเพิ่มเติม เช่น การให้สารกระตุ้น (elicitation), การเติมสารตั้งต้น (precursor feeding), หรือการดัดแปลงพันธุกรรม.   

  • ต้นทุนสูง (High Cost): ทั้งการลงทุนเริ่มแรกในอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องการผลิตสารทุติยภูมิในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งอาจคุ้มค่าเฉพาะกับสารที่มีราคาแพงมากเท่านั้น.   


5. เทคนิคอื่นๆ ที่น่าสนใจ

นอกเหนือจาก 3 เทคนิคหลักที่กล่าวมาแล้ว ยังมีเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชอื่นๆ ที่มีความสำคัญและน่าสนใจ ซึ่งมักใช้เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะทาง ได้แก่


การเพาะเลี้ยงอับละอองเรณู

เทคนิคนี้เป็นการนำ อับละอองเรณู (anther) ซึ่งเป็นส่วนของเกสรตัวผู้ที่สร้างละอองเรณู หรือนำ ละอองเรณู (pollen grain หรือ microspore) ที่ยังเจริญไม่เต็มที่ มาเพาะเลี้ยงบนอาหารสังเคราะห์. ละอองเรณูเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ ซึ่งมีจำนวนโครโมโซมเพียงครึ่งเดียวของเซลล์ร่างกายปกติ (เรียกว่า แฮพลอยด์ - haploid, n).   


ภายใต้สภาวะการเลี้ยงที่เหมาะสม ละอองเรณูเหล่านี้สามารถถูกชักนำให้พัฒนาไปเป็น เอ็มบริโอ (embryo) หรือ แคลลัส (callus) ที่มีโครโมโซมชุดเดียว (haploid) ได้. จากนั้น เอ็มบริโอหรือแคลลัสแฮพลอยด์เหล่านี้สามารถพัฒนาต่อไปเป็น ต้นพืชแฮพลอยด์ (haploid plant) ได้.   


ประโยชน์หลักของการสร้างพืชแฮพลอยด์คือ เพื่อนำไปใช้ใน งานปรับปรุงพันธุ์พืช. เมื่อได้ต้นพืชแฮพลอยด์แล้ว นักปรับปรุงพันธุ์สามารถใช้สารเคมี เช่น โคลชิซิน (colchicine) เพื่อชักนำให้เกิดการเพิ่มจำนวนชุดโครโมโซมขึ้นเป็น 2 เท่า (chromosome doubling) ทำให้ได้ต้นพืช ดิพลอยด์ (diploid, 2n) ที่มียีนทุกคู่เหมือนกันหมด หรือที่เรียกว่า ดับเบิลแฮพลอยด์ (Doubled Haploid - DH) ซึ่งเป็น สายพันธุ์แท้ (homozygous line หรือ pure line) อย่างสมบูรณ์.   


กระบวนการนี้ช่วย ย่นระยะเวลา ในการสร้างสายพันธุ์แท้ได้อย่างมหาศาล จากเดิมที่ต้องใช้เวลาผสมตัวเอง (self-pollination) หลายชั่วรุ่น (อาจนาน 6-7 ปี หรือมากกว่า) ให้เหลือเพียงชั่วรุ่นเดียว. การได้สายพันธุ์แท้อย่างรวดเร็วนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสม (hybrid seeds) และการศึกษาทางพันธุศาสตร์ เนื่องจากลักษณะต่างๆ ที่ควบคุมโดยยีนด้อย (recessive genes) จะสามารถแสดงออกมาให้เห็นได้ทันทีในพืชแฮพลอยด์. อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้มีความซับซ้อนและอัตราความสำเร็จมักขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น พันธุ์พืช ระยะพัฒนาการของละอองเรณู สภาพของต้นแม่ และสูตรอาหารที่ใช้.   


การสร้างต้นจากแคลลัส

แคลลัส (Callus) คือกลุ่มก้อนของเซลล์พืชที่ยังไม่มีการพัฒนาหรือพัฒนาไปน้อยมาก (undifferentiated or poorly differentiated) ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเนื้อเยื่อหรืออวัยวะชนิดใด. ในธรรมชาติ แคลลัสมักเกิดขึ้นบริเวณบาดแผลของพืช. ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เราสามารถชักนำให้เกิดแคลลัสได้จากชิ้นส่วนพืช (explants) แทบทุกชนิด เช่น ใบ ลำต้น ราก หรือแม้แต่เมล็ด โดยการเพาะเลี้ยงบนอาหารสังเคราะห์ที่เติมสารควบคุมการเจริญเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ออกซิน (auxin) เช่น 2,4-D หรือ NAA ในระดับความเข้มข้นที่ค่อนข้างสูง ร่วมกับ ไซโทไคนิน (cytokinin) ในระดับที่เหมาะสม.   


แคลลัสที่ได้สามารถนำไปเลี้ยงเพิ่มปริมาณได้โดยการตัดแบ่งและย้ายลงบนอาหารใหม่เป็นระยะๆ (subculture). ที่สำคัญคือ แคลลัสเหล่านี้ยังคงรักษาคุณสมบัติโททิโพเทนซีไว้ ทำให้สามารถ ชักนำให้พัฒนา (redifferentiate) กลับไปเป็นอวัยวะต่างๆ เช่น ยอดและราก (ผ่านกระบวนการ organogenesis) หรือพัฒนาเป็นโครงสร้างคล้ายเอ็มบริโอ (ผ่านกระบวนการ somatic embryogenesis) ได้ เมื่อทำการปรับเปลี่ยนอัตราส่วนและชนิดของฮอร์โมนในอาหารเลี้ยง โดยทั่วไปมักจะลดระดับออกซินลงและ/หรือเพิ่มระดับไซโทไคนินให้สูงขึ้น.   


ดังนั้น การเพาะเลี้ยงแคลลัสจึงไม่ได้เป็นเพียงเป้าหมายสุดท้ายเสมอไป แต่มักถูกใช้เป็น ขั้นตอนกลาง (intermediate step) ในหลายๆ วัตถุประสงค์ ได้แก่


  • การขยายพันธุ์พืช: โดยเฉพาะในกรณีที่ชิ้นส่วนเริ่มต้นมีจำกัด หรือพืชชนิดนั้นชักนำให้เกิดยอดโดยตรงได้ยาก การสร้างแคลลัสก่อนแล้วค่อยชักนำให้เกิดยอดจำนวนมากจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง.   

  • แหล่งของเซลล์แขวนลอย: แคลลัสชนิด friable เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างเซลล์แขวนลอย.   

  • การผลิตสารทุติยภูมิ: สามารถนำแคลลัสไปเลี้ยงเพื่อผลิตสารสำคัญได้เช่นเดียวกับเซลล์แขวนลอย.   

  • งานด้านพันธุวิศวกรรม: แคลลัสเป็นเป้าหมายที่นิยมใช้ในการส่งถ่ายยีน (gene transformation) เนื่องจากเซลล์ไม่มีการจัดระเบียบซับซ้อนเท่าเนื้อเยื่อปกติ ทำให้ยีนเข้าสู่เซลล์ได้ง่ายกว่า จากนั้นจึงค่อยชักนำให้แคลลัสที่ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมแล้วพัฒนาเป็นต้นพืชใหม่.   

  • การศึกษาการกลายพันธุ์ (Somaclonal Variation): กระบวนการเกิดแคลลัสและการสร้างต้นใหม่จากแคลลัสนั้น เกี่ยวข้องกับการที่เซลล์ต้องผ่านการสูญเสียสภาพเดิม (dedifferentiation) และการพัฒนาสภาพขึ้นใหม่ (redifferentiation) ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนในระดับสูง ซึ่งกระบวนการนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าสามารถชักนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมหรือการแสดงออกของยีนได้ง่ายกว่าการขยายพันธุ์ที่อาศัยเนื้อเยื่อเจริญที่มีการจัดระเบียบอยู่แล้ว. แม้ว่าการกลายพันธุ์นี้อาจเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการในการขยายพันธุ์เพื่อให้ได้ลักษณะเดิม แต่ในบางกรณีก็อาจเป็นประโยชน์ในการคัดเลือกหาลักษณะแปลกใหม่ หรือลักษณะที่ทนทานต่อสภาวะที่ไม่เหมาะสมได้.   

  • การศึกษาพัฒนาการของพืช: ใช้เป็นโมเดลในการศึกษากลไกการควบคุมการพัฒนาของเซลล์และอวัยวะพืช

นอกจากนี้ ลักษณะภายนอกของแคลลัส เช่น สี (ขาว เหลือง เขียว แดง ม่วง น้ำตาล) หรือลักษณะเนื้อ (แน่น-compact หรือ ร่วน-friable) อาจมีความสัมพันธ์กับความสามารถในการสร้างต้นใหม่ หรือความสามารถในการผลิตสารทุติยภูมิได้. ตัวอย่างเช่น งานวิจัยในกระเจี๊ยบแดงพบว่าแคลลัสสีแดงเข้มสามารถผลิตสารแอนโทไซยานินและสารประกอบฟีนอลิกได้สูงกว่าแคลลัสสีแดงหรือสีเขียวขาว. การสังเกตลักษณะเหล่านี้จึงอาจใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นในการคัดเลือกแคลลัสที่มีศักยภาพสำหรับเป้าหมายที่ต้องการได้   


6. ตารางเปรียบเทียบเทคนิคหลัก

เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างของเทคนิคยอดนิยม 3 วิธีหลักได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถสรุปเปรียบเทียบได้ดังตารางต่อไปนี้:

คุณลักษณะ

การเพาะเลี้ยงข้อ/ตา (Node Culture)

การเพาะเลี้ยงปลายยอด (Shoot Tip/Meristem Culture)

การเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอย (Cell Suspension Culture)

ชิ้นส่วนเริ่มต้น

ข้อที่มีตาข้าง (Node with axillary bud)

เนื้อเยื่อเจริญปลายยอด +/- ใบอ่อน (Apical meristem +/- leaf primordia)

แคลลัสชนิดร่วน (Friable callus) หรือเซลล์เดี่ยว

วัตถุประสงค์หลัก

การขยายพันธุ์ให้ได้จำนวนมากและตรงตามพันธุ์ (Clonal propagation)

การผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรค โดยเฉพาะไวรัส (Virus elimination)

การผลิตสารทุติยภูมิ, การวิจัยเซลล์, การขยายขนาดการผลิต

ข้อดีเด่น

ความคงทนทางพันธุกรรมสูง (High genetic fidelity), เทคนิคไม่ซับซ้อนมาก

สามารถกำจัดไวรัสและเชื้อโรคในระบบท่อลำเลียงได้ (Effective pathogen removal)

ควบคุมสภาวะได้แม่นยำ, เหมาะกับการขยายขนาดใน Bioreactor, เข้าถึงเซลล์เพื่อการศึกษาได้ง่าย

ข้อควรพิจารณา/ความท้าทายหลัก

ไม่กำจัดไวรัส, อัตราเพิ่มจำนวนอาจไม่เร็วที่สุด

ต้องการทักษะสูง (micro-dissection), อัตราการรอดต่ำ, โตช้าในระยะแรก

เสี่ยงต่อการปนเปื้อนสูง, อาจเกิดความไม่เสถียรทางพันธุกรรม, ผลผลิตสารอาจต่ำ, ต้นทุนสูง

ตัวอย่างการใช้งานทั่วไป

ขยายพันธุ์ไม้ประดับ, สมุนไพร, ไม้ผลหลายชนิด

ผลิตต้นแม่พันธุ์ปลอดไวรัสของ มันฝรั่ง, กล้วย, สตรอว์เบอร์รี่, กระเทียม, กล้วยไม้

ผลิตสาร Shikonin, Ginsenosides, Taxol; ศึกษาเมแทบอลิซึมของเซลล์

หมายเหตุ: ตารางนี้เป็นการสรุปภาพรวม ข้อดีข้อเสียและความเหมาะสมอาจแตกต่างกันไปในพืชแต่ละชนิด


7.เลือกเทคนิคให้เหมาะกับเป้าหมาย

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเป็นกลุ่มของเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายและทรงพลัง แต่ละเทคนิคมีจุดเด่น จุดด้อย และวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป. การเพาะเลี้ยงข้อหรือตา (Node Culture) เหมาะสำหรับการขยายพันธุ์พืชที่ต้องการรักษาลักษณะเดิมของแม่พันธุ์ไว้ให้คงที่. การเพาะเลี้ยงปลายยอด (Shoot Tip/Meristem Culture) เป็นเครื่องมือสำคัญในการผลิตต้นพันธุ์ที่สะอาด ปลอดจากเชื้อโรค โดยเฉพาะไวรัส ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในพืชที่ขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ. ส่วนการเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอย (Cell Suspension Culture) มุ่งเน้นไปที่การใช้เซลล์พืชเป็นเสมือนโรงงานขนาดเล็กเพื่อผลิตสารทุติยภูมิที่มีคุณค่า หรือใช้เป็นระบบในการศึกษากลไกต่างๆ ในระดับเซลล์. นอกจากนี้ เทคนิคเฉพาะทางอย่างการเพาะเลี้ยงอับละอองเรณู (Anther Culture) ก็เข้ามาช่วยเร่งกระบวนการปรับปรุงพันธุ์พืชให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ขณะที่การเพาะเลี้ยงแคลลัส (Callus Culture) ก็มีบทบาทสำคัญในฐานะขั้นตอนกลางสำหรับหลายๆ การประยุกต์ใช้   


การตัดสินใจเลือกใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อวิธีใดนั้น ไม่ใช่เพียงแค่การเลือกตามความนิยม แต่เป็น การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ที่ต้องพิจารณาปัจจัยหลายด้านประกอบกัน ได้แก่


  • เป้าหมายหลัก (Goal): ต้องการอะไรจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ? ขยายพันธุ์จำนวนมาก? กำจัดโรค? สร้างพันธุ์ใหม่? หรือผลิตสารเคมี? เป้าหมายที่ชัดเจนจะเป็นตัวกำหนดทิศทางในการเลือกเทคนิคที่เหมาะสมที่สุด

  • ชนิดและสายพันธุ์พืช (Plant Species/Genotype): พืชแต่ละชนิด หรือแม้แต่แต่ละสายพันธุ์ มีการตอบสนองต่อเทคนิคและสูตรอาหารที่แตกต่างกันอย่างมาก. พืชบางชนิดอาจเพาะเลี้ยงได้ง่าย ในขณะที่บางชนิด (เช่น ไม้เนื้อแข็งบางชนิด) อาจเพาะเลี้ยงได้ยากมาก (recalcitrant) และต้องการการวิจัยและพัฒนาโปรโตคอลเฉพาะทางอย่างเข้มข้น   

  • ทรัพยากรที่มี (Available Resources): การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชต้องอาศัยห้องปฏิบัติการที่มีอุปกรณ์เฉพาะทาง สารเคมี และที่สำคัญคือ บุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญและประสบการณ์. บางเทคนิค เช่น การเพาะเลี้ยงปลายยอด หรือการเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอยในถังปฏิกรณ์ชีวภาพ มีความต้องการด้านเทคนิคและงบประมาณสูงกว่าเทคนิคพื้นฐานอย่างการเพาะเลี้ยงข้อ   

  • สภาพของชิ้นส่วนเริ่มต้น (Explant Condition): ความสมบูรณ์ ปริมาณ และความสะอาดของเนื้อเยื่อจากต้นแม่พันธุ์ก็เป็นปัจจัยสำคัญ


ความสำเร็จของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชนั้น แม้จะดูเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง แต่บ่อยครั้งก็ยังต้องอาศัย การทดลองและปรับปรุง (empirical optimization) เพื่อหาสภาวะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพืชแต่ละชนิดและแต่ละเป้าหมาย. ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวที่ใช้ได้กับทุกพืช การวิจัยพื้นฐานเพื่อทำความเข้าใจการตอบสนองของพืชแต่ละชนิด และประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติงานจึงยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง.   


มองไปในอนาคต การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชยังมีศักยภาพในการพัฒนาต่อไปอีกมาก เช่น การนำระบบอัตโนมัติ (automation) และหุ่นยนต์เข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ , การบูรณาการเข้ากับเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมเพื่อสร้างพืชที่มีคุณลักษณะใหม่ๆ ตามต้องการ , การพัฒนาเทคนิคสำหรับพืชที่เพาะเลี้ยงได้ยาก และการประยุกต์ใช้เพื่อสนับสนุนเกษตรกรรมยั่งยืนและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพให้กว้างขวางยิ่งขึ้น   


การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเป็นสาขาที่มีพลวัตและเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการตอบโจทย์ความท้าทายต่างๆ ทั้งในภาคเกษตรกรรม พืชสวน อุตสาหกรรม การอนุรักษ์ และการวิจัย การทำความเข้าใจในหลักการ ข้อจำกัด และวัตถุประสงค์ของแต่ละเทคนิค จะช่วยให้เราสามารถเลือกใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมต่อไป


แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  1. www.thaitissues.com, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.thaitissues.com/post/plant-tissue-culture#:~:text=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%20(Plant%20Tissue%20Culture)%20%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%20%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3,%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88

  2. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช - วิกิพีเดีย, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A

  3. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช 2, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://www.eto.ku.ac.th/neweto/e-book/other/cell_plant.pdf

  4. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพันธุ์ไม้ป่า Tissue Culture in Forest Tree, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://forprod.forest.go.th/forprod/techtransfer/document/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9D%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD.pdf

  5. ข้อดีของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช - สวนเกษตร 32, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.kaset32farm.com/article/plant-news/plant-tissue-culture/

  6. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช - Thai Tissue, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.thaitissues.com/post/plant-tissue-culture

  7. old-book.ru.ac.th, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://old-book.ru.ac.th/e-book/b/BT433(H)(48)/BT433(H)(48)-10.pdf

  8. Plant Tissue Culture - ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษานราธิวาส, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.narasci.go.th/8151/

  9. ประโยชน์ของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกับการเกษตร, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.doa.go.th/biotech/wp-content/uploads/2023/09/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%9A-4-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3.pdf

  10. บทที่ 10, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://old-book.ru.ac.th/e-book/a/AG103(54)/chapter10.pdf

  11. การนำวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ - sirindhorn.net, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://sirindhorn.net/sub/book/book.php?book=31&chap=5&page=t31-5-infodetail06.html

  12. ประโยชน์ของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช - Thailand: The Royal Chitralada Projects Home Page, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://web.ku.ac.th/nk40/nk/data/08/nk1p8k8.htm

  13. เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช - (Plant Tissue Culture) - เว็บไซต์สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_j/2545_50_160_p1-4.pdf

  14. การเพาะเลี้ยงอับเรณูและผลของโบรอนต่อคุณภาพ, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://sutir.sut.ac.th:8080/sutir/bitstream/123456789/4057/2/Fulltext.pdf

  15. PRODUCTION OF SECONDARY METABOLITES BY ... - ThaiScience, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.thaiscience.info/journals/Article/JHRE/10893671.pdf

  16. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ - Flip eBook Pages 1-34 | AnyFlip, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://anyflip.com/mwjuj/dhmt/basic

  17. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://blog.bru.ac.th/wp-content/uploads/bp-attachments/36702/1.-%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A.pdf

  18. การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชสวนพันธุ์ดี โดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในระบบจมชั่วคราว - กรมวิชาการเกษตร, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.doa.go.th/hc/loei/wp-content/uploads/2024/11/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7.pdf

  19. วิชา TA 445 เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเพื่อการเกษตร (Plant Tissue Culture for Agricultural Technology), เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://qa.bkkthon.ac.th/qa/qa56/420374686.pdf

  20. มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://saranukromthai.or.th/oldchild/2840

  21. ผลของสารควบคุมการเจริญเติบโตและชนิดของอาหารสูตร MS - ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tstj/article/download/42580/35182

  22. การขยายพันธุ์พืชไฮเดรนเยีย (Hydrangea macrophylla) ในสภาพปล - TU Digital Collections, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/digital/api/DownloadDigitalFile/dowload/194069

  23. 163-170 (2553). - การเพิ่มจำนวนยอดและชักนำให้เกิดรากของไผ่เลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ - คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://ag2.kku.ac.th/kaj/PDF.cfm?filename=08-Yaowapha.pdf&id=340&keeptrack=195

  24. การขยายพันธุ์พืชในมะเขือเทศโดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ - ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/anres/article/download/241562/164810/

  25. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้หางช้างโดยใช้สารพาโคลบิวทราโซล Tissue Culture of Grammatophyllum speciosum by, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://race.nstru.ac.th/home_ex/e-portfolio//pic/academy/22292127.pdf?1738038322

  26. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมันเสา - มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://sciencejournal.pbru.ac.th/index.php/component/phocadownload/category/1-10-1-2556?download=4:56-3

  27. การขยายพันธุ์ในหลอดทดลองของต้นจอกหินตะนาวศรี (Dorcoceras brunneum C.Puglisi) พืชใกล้ - Burapha Science Journal, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://scijournal.buu.ac.th/index.php/sci/article/view/4236/3496

  28. การขยายพันธุ์ส่องฟ้าโดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ Micropropagation of Clausena guillauminii Tanaka - มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.ubu.ac.th/web/files_up/00008f2022090117232456.pdf

  29. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกุหลาบหนูโดยอาหารเพ - วารสารวิชาการวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ - มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://ajsas.uru.ac.th/files_complete/1592842455_5462.pdf

  30. การฟอกฆ่าเชื้อและการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชต้นทุนต่่าเพื่อการขยายพันธุ์มันเหน็บ Dioscorea bulbifera† Sterilization and, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://wjst.wu.ac.th/index.php/stssp/article/download/25756/2356/73136

  31. รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ การถ่ายทอดเทคโนโลยีช - คณะทรัพยากรธรรมชาติ, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://natres.psu.ac.th/rise/research-office/wp-content/uploads/2024/04/2017_June_TransferBiotechSchool.pdf

  32. การขยายพันธุ์ขมิ้นชัน (Curcuma longa L.) - SWU eJournals System, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://ejournals.swu.ac.th/index.php/sej/article/download/5329/5014/17628

  33. การชักนำให้เกิดแคลลัส และปริมาณสารต้านอนุมู - ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tstj/article/download/210589/170777

  34. การชักนำให้เกิดแคลลัสในกล้วย - HECTOR, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://hectortarr.arda.or.th/api/uploaded_file/MiXGTjjBTcpMqzDJ1mtXl

  35. การผลิตมันเทศปลอดไวรัส SPFMV และ SPCSV โดยใช้เทคนิค การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ Production of SPFMV-free and - ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/download/215937/150717/696219

  36. การเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืชเนระพูสีไทยใน I, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://www.repository.rmutt.ac.th/xmlui/bitstream/123456789/2614/1/RMUTT-147681.pdf

  37. บทที่1 ประวัติและความสําคัญของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://www.kruseksan.com/book/tissue1.pdf

  38. การทําให้อาหารเพาะเลียงเนือเยือพืชปลอดเชือ - Silpakorn University, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://sure.su.ac.th/xmlui/bitstream/handle/123456789/10174/fulltext.pdf?sequence=2&isAllowed=y

  39. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช - ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 5 จังหวัดบุรีรัมย์, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://www.aopdt06.doae.go.th/Dataknowledge/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD.pdf

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไม้ด่าง, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www3.rdi.ku.ac.th/wp-contents/uploads/2019/03/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%8อ


Comentários

Avaliado com 0 de 5 estrelas.
Ainda sem avaliações

Adicione uma avaliação
bottom of page