ส่องเทคนิคยอดฮิตในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ทำได้อย่างไรบ้าง?
- Thai Tissue Admin
- 27 เม.ย.
- ยาว 7 นาที

เทคโนโลยีชีวภาพเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง หนึ่งในเทคนิคที่น่าสนใจและมีการนำไปใช้อย่างกว้างขวางคือ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช (Plant Tissue Culture) ซึ่งเปรียบเสมือนการย่อส่วนกระบวนการเจริญเติบโตของพืชมาไว้ในห้องปฏิบัติการ ช่วยให้เราสามารถขยายพันธุ์พืชได้อย่างรวดเร็ว ผลิตต้นพืชที่แข็งแรง ปลอดโรค หรือแม้กระทั่งสร้างพืชสายพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้นมาได้ บล็อกโพสต์นี้จะพาทุกท่านไปสำรวจโลกอันน่าทึ่งของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ทำความรู้จักกับเทคนิคยอดนิยมต่างๆ พร้อมทั้งเจาะลึกถึงหลักการ ข้อดี ข้อควรพิจารณา และตัวอย่างการนำไปใช้ประโยชน์
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชคืออะไร?
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช คือ กระบวนการนำส่วนใดส่วนหนึ่งของพืช ไม่ว่าจะเป็นเซลล์ (cell) เนื้อเยื่อ (tissue) หรืออวัยวะ (organ) เช่น ปลายยอด ตา ข้อ ใบ หรือแม้แต่ชิ้นส่วนเล็กๆ ของลำต้น มาเพาะเลี้ยงบนอาหารสังเคราะห์ (synthetic nutrient medium) ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมอย่างเข้มงวด ทั้งในเรื่องความสะอาด (ปลอดเชื้อ - aseptic condition) อุณหภูมิ แสง และความชื้น เพื่อให้ชิ้นส่วนเหล่านั้นสามารถเจริญเติบโตและพัฒนาเป็นต้นพืชใหม่ที่สมบูรณ์ได้. กระบวนการนี้มักทำในภาชนะปิด เช่น ขวดแก้วหรือจานเพาะเชื้อ จึงมักเรียกว่าเป็นการเพาะเลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ หรือ in vitro culture ซึ่งหมายถึง "ในแก้ว" นั่นเอง. วิธีการนี้แตกต่างจากการขยายพันธุ์แบบดั้งเดิม เช่น การเพาะเมล็ด หรือการปักชำในดิน โดยอาศัยความสามารถพิเศษของเซลล์พืชในการเจริญเติบโตภายใต้สภาวะที่จัดเตรียมขึ้นในห้องปฏิบัติการ
พลังแห่งเซลล์พืช
หัวใจสำคัญที่ทำให้การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเป็นไปได้ คือ คุณสมบัติที่เรียกว่า โททิโพเทนซี (Totipotency). นี่คือความสามารถอันน่าทึ่งของเซลล์พืชแต่ละเซลล์ (หรือกลุ่มเซลล์เล็กๆ) ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเป็นเนื้อเยื่อ อวัยวะ หรือแม้กระทั่งเจริญเติบโตขึ้นเป็นต้นพืชใหม่ทั้งต้นได้ เมื่ออยู่ในสภาวะแวดล้อมและได้รับสารอาหารที่เหมาะสม. คุณสมบัตินี้แตกต่างจากเซลล์สัตว์ส่วนใหญ่ ซึ่งเมื่อพัฒนาไปเป็นเนื้อเยื่อเฉพาะทางแล้ว มักจะสูญเสียความสามารถในการย้อนกลับไปสร้างอวัยวะอื่นๆ ได้ทั้งหมด ความสามารถในการฟื้นคืนชีพจากเซลล์เพียงเซลล์เดียวนี้เองที่เป็นรากฐานสำคัญ ทำให้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่การขยายพันธุ์จำนวนมาก ไปจนถึงการสร้างพืชปลอดโรคจากเนื้อเยื่อส่วนปลายยอดที่มีขนาดเล็กมาก.
ความสำคัญในยุคปัจจุบันการเกษตร งานวิจัย และการอนุรักษ์
ในปัจจุบัน การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชไม่ได้เป็นเพียงเทคนิคในห้องทดลองอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่มีบทบาทสำคัญในหลายด้าน ได้แก่
การขยายพันธุ์พืชจำนวนมากอย่างรวดเร็ว (Rapid Mass Propagation): สามารถผลิตต้นพืชได้ครั้งละมากๆ ในระยะเวลาอันสั้น จากต้นแม่เพียงต้นเดียวหรือชิ้นส่วนเล็กน้อย. ตัวอย่างเช่น การเพิ่มจำนวนต้นได้ 10 เท่าทุกเดือน ทำให้ในเวลา 3 เดือน สามารถผลิตต้นพันธุ์ได้ถึง 1000 ต้น.
การผลิตพืชปลอดโรค (Production of Disease-Free Plants): โดยเฉพาะการกำจัดเชื้อไวรัส ไฟโตพลาสมา หรือแบคทีเรีย ที่มักสะสมอยู่ในต้นแม่พันธุ์ที่ขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศมานาน การเลือกใช้เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายยอด (Meristem Culture) ซึ่งมักจะปลอดเชื้อ สามารถสร้างต้นพันธุ์ที่สะอาด แข็งแรง และให้ผลผลิตสูง.
การผลิตพืชได้ตลอดทั้งปี (Year-Round Production): ไม่ขึ้นกับฤดูกาล ทำให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตและมีผลผลิตที่สม่ำเสมอ.
การอนุรักษ์พันธุ์พืชหายากและใกล้สูญพันธุ์ (Conservation of Rare/Endangered Species): เป็นวิธีการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืช (Germplasm conservation) ที่มีประสิทธิภาพ ใช้พื้นที่น้อย และสามารถเก็บรักษาได้ในระยะยาว.
การปรับปรุงพันธุ์พืช (Plant Improvement/Breeding Support): ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในงานปรับปรุงพันธุ์ เช่น การสร้างพืชสายพันธุ์แท้ (โดยการเพาะเลี้ยงอับละอองเรณู) การคัดเลือกสายพันธุ์ที่ทนทานต่อสภาวะแวดล้อม หรือการสร้างพืชดัดแปลงพันธุกรรม (Genetic Engineering).
การผลิตสารทุติยภูมิ (Production of Secondary Metabolites): ใช้เพาะเลี้ยงเซลล์พืชสมุนไพรเพื่อผลิตสารสำคัญทางยา เครื่องสำอาง หรือสารปรุงแต่งต่างๆ ที่มีมูลค่าสูง.
การศึกษาวิจัยพื้นฐาน (Basic Research): ใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาชีววิทยา สรีรวิทยา และพันธุศาสตร์ของพืชในระดับเซลล์.
ภาพรวมเทคนิคหลากหลาย ไม่มีวิธีใดวิธีหนึ่งที่เหมาะกับทุกอย่าง
คำว่า "การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช" นั้น เป็นคำเรียกรวมๆ ของกลุ่มเทคนิคที่หลากหลาย. แต่ละเทคนิคก็มีวิธีการ ขั้นตอน วัตถุประสงค์ และความเหมาะสมกับชนิดพืชหรือเป้าหมายที่แตกต่างกันไป ในบทความนี้ เราจะเน้นไปที่เทคนิคยอดนิยม 3 วิธีหลัก ได้แก่ การเพาะเลี้ยงข้อหรือตา (Node Culture) การเพาะเลี้ยงปลายยอด (Shoot Tip/Meristem Culture) และการเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอย (Cell Suspension Culture) นอกจากนี้ จะกล่าวถึงเทคนิคอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น การเพาะเลี้ยงอับละอองเรณู (Anther Culture) และการสร้างต้นจากแคลลัส (Callus Culture) พอสังเขป เพื่อให้เห็นภาพรวมของความหลากหลายในสาขานี้. การเลือกใช้เทคนิคใดนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการอะไรเป็นหลัก เช่น ต้องการแค่ขยายพันธุ์ให้ได้จำนวนมากและตรงตามพันธุ์เดิม หรือต้องการกำจัดไวรัส หรือต้องการผลิตสารเคมีจากเซลล์พืช เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชก็มีข้อจำกัดสำคัญคือ ความจำเป็นในการควบคุมสภาพแวดล้อมอย่างเข้มงวด ทั้งในเรื่องความปลอดเชื้อ (aseptic conditions) และสภาวะการเลี้ยง (อุณหภูมิ แสง อาหาร). การทำงานต้องทำในตู้ปลอดเชื้อ (laminar flow hood) อุปกรณ์เครื่องแก้วและอาหารเลี้ยงต้องผ่านการนึ่งฆ่าเชื้อด้วยหม้อนึ่งความดัน (autoclave) และต้องมีห้องเลี้ยงที่ควบคุมอุณหภูมิและแสงได้อย่างเหมาะสม. ข้อกำหนดเหล่านี้ทำให้การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชต้องอาศัยห้องปฏิบัติการที่มีอุปกรณ์เฉพาะทาง บุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญ และมีต้นทุนในการดำเนินการที่สูงกว่าวิธีการขยายพันธุ์แบบดั้งเดิมอย่างชัดเจน. นี่จึงเป็นข้อพิจารณาสำคัญสำหรับผู้ที่สนใจจะนำเทคนิคนี้ไปใช้
1. การเพาะเลี้ยงข้อหรือตา
การเพาะเลี้ยงข้อหรือตา (Node Culture) เป็นหนึ่งในเทคนิคพื้นฐานและนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการขยายพันธุ์พืชในสภาพปลอดเชื้อ หลักการสำคัญคือการนำส่วนของลำต้นที่มี "ข้อ" (node) ซึ่งเป็นบริเวณที่มี "ตาข้าง" (axillary bud) ติดอยู่ มาเพาะเลี้ยง. ตาข้างนี้คือกลุ่มเนื้อเยื่อเจริญที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นกิ่งหรือยอดใหม่ได้อยู่แล้วตามธรรมชาติ เทคนิคนี้จึงเปรียบเสมือนการกระตุ้นให้ตาข้างเหล่านี้แตกออกมาเป็นยอดใหม่ในสภาพปลอดเชื้อนั่นเอง
ขั้นตอนโดยทั่วไปมีดังนี้ :
การเลือกและเตรียมชิ้นส่วนพืช (Explant Selection and Preparation): เลือกกิ่งหรือลำต้นจากต้นแม่พันธุ์ที่สมบูรณ์ แข็งแรง ปราศจากโรคและแมลง ตัดส่วนของลำต้นให้มีข้อและตาติดอยู่ ความยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร ลิดใบออก
การฟอกฆ่าเชื้อที่ผิว (Surface Sterilization): นำชิ้นส่วนข้อที่ได้มาล้างทำความสะอาด และทำการฟอกฆ่าเชื้อที่ผิวภายนอกด้วยสารเคมี เช่น เอทานอล 70% ตามด้วยสารละลายโซเดียมไฮโปคลอไรท์ (เช่น Clorox® เจือจาง) หรือแคลเซียมไฮโปคลอไรท์ ในระยะเวลาและความเข้มข้นที่เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด เพื่อกำจัดจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนบนผิวพืช. จากนั้นล้างด้วยน้ำกลั่นที่นึ่งฆ่าเชื้อแล้วหลายๆ ครั้ง
การเพาะเลี้ยงบนอาหาร (Culture Initiation): ย้ายชิ้นส่วนข้อที่ผ่านการฟอกฆ่าเชื้อแล้วลงบนอาหารสังเคราะห์สูตรที่เหมาะสม (เช่น สูตร MS - Murashige and Skoog) ซึ่งมักจะเติมสารควบคุมการเจริญเติบโตในกลุ่ม ไซโทไคนิน (Cytokinin) เช่น BA (Benzyladenine) หรือ Kinetin เพื่อกระตุ้นให้ตาข้างแตกออกมาเป็นยอดใหม่.
การเพิ่มจำนวนยอด (Shoot Multiplication): เมื่อตาเดิมเจริญเป็นยอดใหม่แล้ว สามารถตัดแบ่งยอดนั้นออกเป็นข้อๆ แล้วนำไปเลี้ยงบนอาหารสูตรเดิมหรือปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มจำนวนยอดให้มากขึ้น ทำซ้ำขั้นตอนนี้ (subculture) ไปเรื่อยๆ จนได้จำนวนยอดตามที่ต้องการ.
การชักนำให้เกิดราก (Rooting): นำยอดที่ได้จากการเพิ่มจำนวนมาเลี้ยงบนอาหารสูตรที่ชักนำให้เกิดราก ซึ่งอาจเป็นอาหารที่ไม่เติมสารควบคุมการเจริญเติบโต หรือเติมสารในกลุ่ม ออกซิน (Auxin) เช่น IBA (Indole-3-butyric acid) หรือ NAA (α-Naphthaleneacetic acid) ในระดับต่ำๆ เพื่อกระตุ้นการสร้างราก.
การย้ายปลูกและปรับสภาพ (Acclimatization): เมื่อต้นพืชมีทั้งยอดและรากสมบูรณ์แล้ว (เรียกว่า plantlet) จึงนำออกจากขวด ล้างวุ้นออกให้สะอาด แล้วนำไปปลูกในวัสดุปลูกที่สะอาด เช่น พีทมอส เวอร์มิคูไลท์ หรือขุยมะพร้าว ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูงและแสงไม่จัดมากนัก ค่อยๆ ลดความชื้นลงเพื่อให้พืชปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมภายนอกห้องปฏิบัติการได้.
ข้อดี
ความคงทนทางพันธุกรรมสูง (High Genetic Stability): เนื่องจากเป็นการกระตุ้นการเจริญเติบโตของตาที่มีอยู่เดิม ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการสร้างแคลลัส (กลุ่มเซลล์ที่ยังไม่พัฒนา) ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อการกลายพันธุ์ (somaclonal variation) มากกว่า ทำให้ต้นพืชที่ได้มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ทุกประการ (true-to-type). นี่เป็นข้อดีสำคัญเมื่อต้องการขยายพันธุ์พืชพันธุ์ดีให้คงลักษณะเดิมไว้
เทคนิคไม่ซับซ้อนมาก (Relatively Simple Technique): เมื่อเทียบกับเทคนิคอื่น เช่น การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายยอด หรือการเพาะเลี้ยงโปรโตพลาสต์ การเพาะเลี้ยงข้อถือว่าทำได้ง่ายกว่า และมีอัตราการรอดชีวิตของชิ้นส่วนเริ่มต้นสูงกว่า
ใช้ได้กับพืชหลากหลายชนิด (Wide Applicability): เทคนิคนี้ประสบความสำเร็จในการขยายพันธุ์พืชหลายกลุ่ม ตั้งแต่ไม้ล้มลุก ไม้ประดับ ไม้ผล ไปจนถึงไม้เนื้อแข็งบางชนิด ดังตัวอย่างที่พบในงานวิจัยต่างๆ เช่น ไผ่ , หนอนตายหยาก , กล้วยไม้หางช้าง , มันเสา , จอกหินตะนาวศรี , ไฮเดรนเยีย , ส่องฟ้า , กุหลาบหนู , มันป่า , และมะเขือเทศ.
ข้อควรพิจารณา
อัตราการเพิ่มจำนวน (Multiplication Rate): แม้จะเชื่อถือได้ แต่ในบางกรณี อัตราการเพิ่มจำนวนยอดต่อหน่วยเวลาอาจไม่สูงเท่ากับเทคนิคที่สามารถชักนำให้เกิดยอดจำนวนมากจากแคลลัสหรือเซลล์แขวนลอยได้
ความแปรปรวนในการตอบสนอง (Variability in Response): ชนิดและความเข้มข้นของฮอร์โมนที่เหมาะสม รวมถึงสูตรอาหาร อาจแตกต่างกันไปอย่างมากในพืชแต่ละชนิด หรือแม้แต่ต่างสายพันธุ์กัน. การทดลองเพื่อหาสภาวะที่เหมาะสม (optimization) จึงยังคงเป็นสิ่งจำเป็น
ไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคภายในระบบท่อลำเลียง (Does Not Eliminate Systemic Pathogens): หากต้นแม่พันธุ์มีการติดเชื้อโรคที่อยู่ในระบบท่อลำเลียง เช่น ไวรัส การเพาะเลี้ยงข้อซึ่งใช้ชิ้นส่วนที่มีเนื้อเยื่อท่อลำเลียงอยู่แล้ว จะไม่สามารถกำจัดเชื้อเหล่านั้นออกไปได้ ต้นใหม่ที่ได้ก็จะยังคงมีเชื้อโรคติดไปด้วย ซึ่งต่างจากเทคนิคการเพาะเลี้ยงปลายยอด.
ยังคงต้องการความชำนาญและสภาพปลอดเชื้อ (Requires Skill and Aseptic Conditions): แม้จะง่ายกว่าเทคนิคอื่น แต่ก็ยังต้องอาศัยความระมัดระวังในการปฏิบัติงานในสภาพปลอดเชื้อ และการควบคุมสภาพแวดล้อมในการเลี้ยง
การที่เทคนิคนี้อาศัยตาข้างที่มีอยู่เดิมเป็นจุดเริ่มต้น ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ได้ต้นพืชที่ตรงตามพันธุ์แม่. ตาข้างเป็นกลุ่ม
เนื้อเยื่อเจริญที่มีการจัดระเบียบโครงสร้างไว้อยู่แล้ว การกระตุ้นให้ตาเหล่านี้เจริญเป็นยอดจึงเป็นการดำเนินไปตามแบบแผนพัฒนาการที่มีอยู่เดิม ลดโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดทางพันธุกรรมที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการสร้างอวัยวะขึ้นใหม่จากเซลล์ที่ไม่มีการจัดระเบียบ เช่น แคลลัส ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิด somaclonal variation สูงกว่า. นอกจากนี้ ความสำเร็จของการเพาะเลี้ยงข้อมักขึ้นอยู่กับการจัดการสมดุลฮอร์โมน โดยเฉพาะการใช้ไซโทไคนิน (เช่น BA, Kinetin) เพื่อเอาชนะอิทธิพลการข่มของตายอด (apical dominance) ที่มีอยู่ในต้นพืชตามธรรมชาติ และกระตุ้นให้ตาข้างหลายๆ ตาพร้อมใจกันแตกออกมาเป็นยอดใหม่ในสภาพ in vitro. การปรับความเข้มข้นและชนิดของไซโทไคนินให้เหมาะสมจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้
ตัวอย่างพืชที่นิยม (Examples of Popular Plants)
เทคนิคการเพาะเลี้ยงข้อหรือตาถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางกับพืชหลากหลายชนิด ตัวอย่างเช่น:
ไม้ประดับ: กล้วยไม้ (เช่น กล้วยไม้หางช้าง ), ไฮเดรนเยีย , กุหลาบหนู , ฟิโลเดนดรอน, มอนสเตอร่า, หน้าวัว, เยอบีร่า
พืชสมุนไพร: หนอนตายหยาก (Stemona collinsae) , ส่องฟ้า (Clausena heptaphylla) , รางจืด (Thunbergia laurifolia) , โหระพา, สะระแหน่
พืชอาหาร: มันเสา (Dioscorea alata) , มันป่า (Dioscorea spp.) , มะเขือเทศ , กล้วย, สับปะรด, สตรอว์เบอร์รี่
ไม้ใช้สอย: ไผ่ , ยูคาลิปตัส
2. การเพาะเลี้ยงปลายยอด
การเพาะเลี้ยงปลายยอด หรือ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเจริญ (Shoot Tip/Meristem Culture) เป็นเทคนิคที่มีความเฉพาะเจาะจงสูง โดยใช้ชิ้นส่วนที่เล็กมากๆ จาก ปลายสุดของยอด (apical meristem) ซึ่งเป็นกลุ่มเซลล์ที่มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ร่วมกับใบอ่อนที่เพิ่งเริ่มสร้างขึ้น (leaf primordia) เพียงไม่กี่ใบ. ขนาดของชิ้นส่วนที่ใช้โดยทั่วไปมีขนาดเล็กมากเพียง 0.1-0.5 มิลลิเมตรเท่านั้น.
หัวใจสำคัญของเทคนิคนี้อยู่ที่ข้อเท็จจริงทางชีววิทยาที่ว่า บริเวณเนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายยอดสุดนี้ มักจะปลอดจากเชื้อโรคที่อาศัยอยู่ในระบบท่อลำเลียงของพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อไวรัส. เหตุผลหลักคือ บริเวณปลายยอดสุดนี้ยังไม่มีการพัฒนาของเนื้อเยื่อท่อลำเลียง (vascular tissue) ที่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการเคลื่อนที่ของไวรัส ประกอบกับเซลล์ในบริเวณนี้มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไวรัสอาจแพร่กระจายตามไปไม่ทัน.
ขั้นตอนการเพาะเลี้ยงปลายยอดมีความละเอียดอ่อนและต้องการความชำนาญสูงกว่าการเพาะเลี้ยงข้อ:
การเตรียมต้นแม่พันธุ์: อาจมีการนำต้นแม่พันธุ์ไปผ่านกรรมวิธีลดปริมาณไวรัสเบื้องต้น เช่น การให้ความร้อน (thermotherapy) โดยการปลูกเลี้ยงในสภาพอุณหภูมิสูง หรือแช่ในน้ำร้อน เพื่อยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสและกระตุ้นการเจริญของยอดใหม่ ก่อนนำมาตัดปลายยอด.
การตัดแยกเนื้อเยื่อเจริญ (Meristem Dissection): ขั้นตอนนี้ต้องทำภายใต้กล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูง (stereo microscope). ใช้ใบมีดผ่าตัดขนาดเล็ก หรือเครื่องมือพิเศษ ค่อยๆ ลอกใบที่ห่อหุ้มยอดออกทีละชั้น จนกระทั่งเห็นส่วนของเนื้อเยื่อเจริญปลายยอด (apical dome) และใบอ่อน (leaf primordia) 2-4 ใบ แล้วจึงตัดส่วนนี้ออกมาอย่างระมัดระวัง ไม่ให้สัมผัสกับเนื้อเยื่อส่วนอื่นที่อาจมีเชื้อไวรัสปนเปื้อน.
การเพาะเลี้ยงบนอาหาร (Culture Initiation): นำชิ้นเนื้อเยื่อเจริญที่ตัดได้วางลงบนอาหารสังเคราะห์สูตรที่เหมาะสม ซึ่งมักจะต้องมีการปรับปรุงให้มีสารอาหารและฮอร์โมนที่เฉพาะเจาะจง เพื่อส่งเสริมการรอดชีวิตและการเจริญเติบโตของชิ้นส่วนที่มีขนาดเล็กมาก อาจมีการใช้ฮอร์โมนกลุ่มไซโทไคนินร่วมกับจิบเบอเรลลิน (Gibberellin, GA3) เพื่อช่วยในการยืดตัวของยอด.
การพัฒนาเป็นยอดและเพิ่มจำนวน (Shoot Development and Multiplication): ชิ้นเนื้อเยื่อเจริญจะค่อยๆ พัฒนาเป็นยอดขนาดเล็ก ซึ่งสามารถนำไปเพิ่มจำนวนต่อได้คล้ายกับวิธีเพาะเลี้ยงข้อ แต่การเจริญเติบโตในระยะแรกอาจค่อนข้างช้า
การชักนำรากและการปรับสภาพ (Rooting and Acclimatization): ดำเนินการเช่นเดียวกับการเพาะเลี้ยงข้อ เพื่อให้ได้ต้นที่สมบูรณ์พร้อมย้ายปลูก
ความแตกต่างระหว่าง "Meristem Culture" ที่แท้จริง (ใช้เฉพาะส่วน apical dome ขนาด ~0.1 มม.) กับ "Shoot Tip Culture" (ใช้ apical dome ร่วมกับใบอ่อน 2-4 ใบ ขนาด 0.2-0.5 มม. หรือใหญ่กว่า) เป็นเรื่องที่ควรทราบ. การเพาะเลี้ยงเฉพาะ meristem แท้ๆ นั้นทำได้ยากมาก มีอัตราการรอดต่ำ แต่มีโอกาสปลอดไวรัสสูงสุดตามทฤษฎี ในทางปฏิบัติ การเพาะเลี้ยง Shoot Tip จึงนิยมทำกันมากกว่า เพราะทำได้ง่ายกว่าและมีอัตราการรอดสูงกว่า แม้ว่าโอกาสในการกำจัดไวรัสอาจลดลงเล็กน้อยก็ตาม. นี่คือตัวอย่างของการปรับเทคนิคเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพทางทฤษฎีและความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
จุดเด่น: การกำจัดเชื้อไวรัส
นี่คือเหตุผลหลักและประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการเพาะเลี้ยงปลายยอด. พืชเศรษฐกิจหลายชนิดที่นิยมขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ (vegetative propagation) เช่น มันฝรั่ง กล้วย กระเทียม สตรอว์เบอร์รี่ ไม้ดอกไม้ประดับต่างๆ มักประสบปัญหาการสะสมเชื้อไวรัสจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งส่งผลให้ต้นพืชอ่อนแอ โทรมเร็ว และให้ผลผลิตลดลงอย่างมาก. ปัจจุบันยังไม่มีสารเคมีหรือวิธีการใดที่สามารถกำจัดไวรัสออกจากต้นพืชที่ติดเชื้อแล้วได้อย่างมีประสิทธิภาพในแปลงปลูก. เทคนิคการเพาะเลี้ยงปลายยอดจึงเปรียบเสมือน "การซักล้าง" หรือ "การทำความสะอาด" พันธุ์พืช เพื่อสร้าง ต้นแม่พันธุ์หลักที่ปราศจากไวรัส (virus-free mother stock) สำหรับนำไปขยายพันธุ์ต่อในเชิงการค้า. ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรคใบด่าง , การผลิตต้นตอองุ่นปลอดไวรัส , และการผลิตเหง้าขมิ้นชันปลอดโรค.
กลไกทางชีววิทยาที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ การที่ไวรัสมักเคลื่อนที่ในพืชผ่านทางท่อลำเลียงอาหาร (phloem) เป็นหลัก ซึ่งท่อลำเลียงเหล่านี้ยังพัฒนาไปไม่ถึงส่วนปลายสุดของเนื้อเยื่อเจริญ. นอกจากนี้ อัตราการแบ่งเซลล์ที่รวดเร็วของเนื้อเยื่อเจริญอาจเร็วกว่าอัตราการเพิ่มจำนวนและการแพร่กระจายของไวรัส ทำให้เซลล์ใหม่ที่เกิดขึ้นบริเวณปลายยอดสุดยังคงปลอดเชื้ออยู่.
ข้อดีอื่นๆ
นอกเหนือจากการกำจัดไวรัสแล้ว เทคนิคนี้ยังมีข้อดีอื่นๆ คือ
การขยายพันธุ์พืชปลอดโรค (Propagation of Clean Material): หลังจากได้ต้นที่ปลอดไวรัสแล้ว ก็สามารถนำต้นนั้นมาขยายพันธุ์ต่อในสภาพปลอดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว.
ความคงทนทางพันธุกรรม (Genetic Stability): เนื่องจากเริ่มต้นจากเนื้อเยื่อเจริญที่มีการจัดระเบียบแล้ว ต้นพืชที่ได้จึงมีลักษณะทางพันธุกรรมตรงตามพันธุ์เดิม.
การอนุรักษ์เชื้อพันธุ์ (Germplasm Conservation): สามารถใช้เก็บรักษาพันธุ์พืชในสภาพปลอดโรค ซึ่งเหมาะสำหรับการเก็บในธนาคารเชื้อพันธุ์พืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บรักษาในไนโตรเจนเหลว (cryopreservation).
ข้อควรพิจารณา
ความต้องการทักษะสูง (Technically Demanding): การตัดแยกชิ้นเนื้อเยื่อที่มีขนาดเล็กมากต้องอาศัยความชำนาญ ประสบการณ์ และอุปกรณ์พิเศษ เช่น กล้องจุลทรรศน์และเครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็ก.
อัตราการรอดชีวิตต่ำและการเจริญเติบโตช้า (Lower Survival Rate and Slow Initial Growth): ชิ้นส่วนเริ่มต้นมีขนาดเล็กมาก ทำให้บอบช้ำง่ายและมีอัตราการรอดชีวิตต่ำกว่าการใช้ชิ้นส่วนที่ใหญ่กว่า เช่น ข้อหรือตา การเจริญเติบโตในระยะแรกจึงค่อนข้างช้า.
ต้องการการปรับปรุงสูตรอาหารเฉพาะ (Requires Specific Media Optimization): การหาสูตรอาหารและสภาวะที่เหมาะสมกับการรอดชีวิตและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อเจริญแต่ละชนิดเป็นสิ่งสำคัญและต้องมีการทดลองปรับปรุง
ไม่รับประกันการปลอดไวรัส 100% (Does Not Guarantee 100% Virus Elimination): แม้จะมีโอกาสสูง แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าต้นที่ได้จะปลอดไวรัสเสมอไป ขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัส พืชเจ้าบ้าน ขนาดของชิ้นส่วนที่ตัด และปัจจัยอื่นๆ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการ ตรวจสอบการปลอดไวรัส หลังการเพาะเลี้ยงโดยใช้เทคนิคที่น่าเชื่อถือ เช่น เทคนิคทางซีรั่มวิทยา (serology) หรือเทคนิคทางอณูชีววิทยา เช่น PCR (Polymerase Chain Reaction) ก่อนนำไปใช้ประโยชน์ต่อ. การที่ต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมนี้ แสดงให้เห็นว่าเทคนิคนี้ไม่ใช่กระบวนการที่สมบูรณ์แบบในตัวเองเสมอไป และอาจต้องใช้ร่วมกับมาตรการอื่น เช่น การให้ความร้อน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดไวรัส
ตัวอย่างพืชที่นิยม (Examples of Popular Plants)
เทคนิคการเพาะเลี้ยงปลายยอดนิยมใช้กับพืชหลายชนิด โดยเฉพาะพืชที่ขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศและมีปัญหาเรื่องโรคไวรัสสะสม ได้แก่:
พืชหัว: มันฝรั่ง , กระเทียม , มันเทศ , มันสำปะหลัง , มันป่า/มันพื้นเมือง (Dioscorea spp.) , ขมิ้นชัน
ไม้ผล: กล้วย , สตรอว์เบอร์รี่ , สับปะรด , องุ่น (สำหรับผลิตต้นตอ)
ไม้ดอกไม้ประดับ: กล้วยไม้ , คาร์เนชั่น , เบญจมาศ , เยอบีร่า , ไม้ใบประดับต่างๆ เช่น สกุล Philodendron, Monstera, Alocasia, Syngonium
3. การเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอย
การเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอยเป็นเทคนิคที่แตกต่างจากการเพาะเลี้ยงบนอาหารแข็งหรือกึ่งแข็ง โดยเป็นการเพาะเลี้ยง เซลล์เดี่ยว (single cells) หรือ กลุ่มเซลล์ขนาดเล็ก (small cell aggregates) ให้เจริญเติบโตและแบ่งตัวกระจายอยู่ใน อาหารเลี้ยงชนิดเหลว (liquid nutrient medium).
การเริ่มต้นเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอยส่วนใหญ่มักจะเริ่มจาก แคลลัส (callus) โดยเฉพาะแคลลัสชนิดที่เซลล์เกาะกันอย่างหลวมๆ หรือที่เรียกว่า friable callus. แคลลัสชนิดนี้จะสามารถแตกตัวและกระจายเซลล์ออกไปในอาหารเหลวได้ง่ายกว่าแคลลัสที่เกาะกันแน่น (compact callus). คุณภาพของแคลลัสเริ่มต้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการสร้างเซลล์แขวนลอยที่ดี.
ขั้นตอนหลักๆ ในการเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอย ได้แก่ :
การสร้างแคลลัสชนิด Friable (Initiation of Friable Callus): ชักนำให้เกิดแคลลัสจากชิ้นส่วนพืชที่เหมาะสมบนอาหารแข็ง และคัดเลือกแคลลัสที่มีลักษณะอ่อนนุ่ม แตกง่าย
การย้ายลงอาหารเหลว (Transfer to Liquid Medium): นำก้อนแคลลัสที่คัดเลือกไว้ใส่ลงในภาชนะ (เช่น ฟลาสก์) ที่บรรจุอาหารเลี้ยงสูตรเหลวที่เหมาะสม
การเขย่าหรือกวน (Agitation): นำภาชนะเพาะเลี้ยงไปวางบนเครื่องเขย่า (orbital shaker) หรือใช้ระบบกวนในถังปฏิกรณ์ชีวภาพ (bioreactor) เพื่อให้เกิดการเคลื่อนที่ของอาหารและเซลล์อยู่ตลอดเวลา. การเขย่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อ:
ให้ออกซิเจนแก่เซลล์ (Aeration): เซลล์พืชต้องการออกซิเจนในการหายใจ
กระจายสารอาหาร (Nutrient Distribution): ให้เซลล์ทุกส่วนสัมผัสกับสารอาหารอย่างทั่วถึง
ป้องกันเซลล์เกาะกลุ่มหรือตกตะกอน (Prevent Aggregation/Settling): ช่วยให้เซลล์กระจายตัว และป้องกันการตกตะกอนซึ่งอาจทำให้เซลล์ด้านล่างขาดออกซิเจนและสารอาหาร.
ลดการสะสมสารพิษเฉพาะที่ (Reduce Local Toxin Accumulation)
การเลี้ยงและย้ายอาหาร (Subculturing): เลี้ยงเซลล์ในสภาวะควบคุม (อุณหภูมิ, แสง-ถ้าจำเป็น) และทำการย้ายเลี้ยง (subculture) เป็นระยะๆ (เช่น ทุก 7-10 วัน ) โดยการดูดเอาส่วนหนึ่งของเซลล์แขวนลอย (aliquot) ไปใส่ในอาหารเหลวใหม่ เพื่อให้เซลล์มีอาหารเพียงพอต่อการเจริญเติบโตและแบ่งตัวต่อไป
การนำไปใช้ประโยชน์ (Applications)
การเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอยเปิดประตูสู่การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพพืชในเชิงอุตสาหกรรมและการวิจัยพื้นฐานมากขึ้น การใช้งานหลักๆ ได้แก่:
การผลิตสารทุติยภูมิ (Production of Secondary Metabolites): นี่คือหนึ่งในการประยุกต์ใช้ที่สำคัญที่สุด เซลล์พืชในอาหารเหลวสามารถถูกชักนำให้ผลิตสารประกอบที่มีมูลค่าสูง เช่น สารสำคัญทางยา (pharmaceuticals), สารปรุงแต่งกลิ่นรส (flavors), สี (pigments), หรือสารกำจัดศัตรูพืช (pesticides). ตัวอย่างเช่น การผลิตสาร Shikonin จากเซลล์ Lithospermum, Ginsenosides จากเซลล์โสม (Panax ginseng), Taxol จากเซลล์ Taxus, Berberine จากเซลล์ Coptis, Diosgenin จากเซลล์เอื้องหมายนา (Costus speciosus) , สารต้านอนุมูลอิสระจากเซลล์รางจืด (Thunbergia laurifolia) , หรือสารกลุ่มแอนโทไซยานินและฟีนอลิกจากเซลล์กระเจี๊ยบแดง (Hibiscus sabdariffa). การผลิตด้วยวิธีนี้สามารถควบคุมคุณภาพและปริมาณได้ดีกว่าการปลูกในไร่นา ซึ่งผลผลิตมักผันแปรตามสภาพแวดล้อม.
การศึกษาวิจัยพื้นฐาน (Basic Research): เซลล์แขวนลอยเป็นระบบที่ดีเยี่ยมสำหรับการศึกษาชีววิทยาของเซลล์พืชในระดับพื้นฐาน เช่น กระบวนการเมแทบอลิซึม (metabolism), การทำงานของเอนไซม์, การแสดงออกของยีน (gene expression), สรีรวิทยาของเซลล์ และการตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ. ความสม่ำเสมอของเซลล์ในระบบทำให้ง่ายต่อการทดลองและตีความผล
การผลิตในถังปฏิกรณ์ชีวภาพ (Bioreactor Scale-Up): ระบบอาหารเหลวเอื้อต่อการขยายขนาดการผลิตจากระดับห้องปฏิบัติการ (ฟลาสก์) ไปสู่ระดับอุตสาหกรรมในถังปฏิกรณ์ชีวภาพ (bioreactors) ขนาดใหญ่ ซึ่งคล้ายคลึงกับกระบวนการหมัก (fermentation) ที่ใช้กับจุลินทรีย์. นี่คือการเปลี่ยนเซลล์พืชให้กลายเป็น "โรงงานชีวภาพ" (bio-factories) สำหรับผลิตสารเคมีที่ต้องการ.
แหล่งของโปรโตพลาสต์ (Source for Protoplasts): เซลล์แขวนลอยที่เจริญเติบโตดีเป็นแหล่งที่ดีในการนำไปย่อยผนังเซลล์ออกด้วยเอนไซม์ เพื่อให้ได้โปรโตพลาสต์ (protoplast) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ไม่มีผนังเซลล์ ใช้สำหรับงานด้านพันธุวิศวกรรม เช่น การส่งถ่ายยีน (gene transfer) หรือการรวมโปรโตพลาสต์ (protoplast fusion) เพื่อสร้างพืชลูกผสม.
ข้อดี
ความสม่ำเสมอของเซลล์ (Cell Uniformity): เซลล์ในระบบแขวนลอยมักมีความสม่ำเสมอมากกว่าในแคลลัสบนอาหารแข็ง ทำให้ง่ายต่อการศึกษาและควบคุมการทดลอง
การควบคุมสภาวะแวดล้อมที่แม่นยำ (Precise Environmental Control): สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ เช่น องค์ประกอบของอาหาร, pH, อุณหภูมิ, และการให้ออกซิเจน ได้อย่างแม่นยำ.
ศักยภาพในการขยายขนาด (Scalability): ง่ายต่อการเพิ่มปริมาณการผลิตในถังปฏิกรณ์ชีวภาพขนาดใหญ่
อัตราการเจริญเติบโตที่อาจเร็วกว่า (Potentially Faster Growth Rate): ในบางกรณี เซลล์ในอาหารเหลวอาจมีอัตราการแบ่งตัวและเพิ่มจำนวนเร็วกว่าแคลลัสบนอาหารแข็ง เนื่องจากสามารถเข้าถึงสารอาหารและออกซิเจนได้ดีกว่า.
การเก็บเกี่ยวสารที่หลั่งออกมา (Harvesting Secreted Products): หากเซลล์ผลิตและหลั่งสารที่ต้องการออกมานอกเซลล์สู่อาหารเหลว ก็สามารถเก็บเกี่ยวสารนั้นได้ง่ายขึ้น
ข้อควรพิจารณา
ต้องการอุปกรณ์เฉพาะทาง (Requires Specialized Equipment): จำเป็นต้องมีเครื่องเขย่า หรือถังปฏิกรณ์ชีวภาพ ซึ่งเป็นการลงทุนเพิ่มเติม.
ความเสี่ยงสูงต่อการปนเปื้อน (High Contamination Risk): เนื่องจากเป็นระบบเปิดและมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา หากเกิดการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์เพียงเล็กน้อย เชื้อจะสามารถแพร่กระจายไปทั่วทั้งระบบได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความเสียหายทั้งหมดได้ง่าย.
ความเสียหายจากแรงเฉือน (Shear Stress Damage): การเขย่าหรือกวนที่แรงเกินไปอาจทำให้เซลล์พืชซึ่งมีขนาดใหญ่และมีผนังเซลล์ที่อาจไม่แข็งแรงเท่าจุลินทรีย์ เกิดความเสียหายทางกายภาพได้.
การเกาะกลุ่มของเซลล์ (Cell Aggregation): เซลล์พืชมีแนวโน้มที่จะเกาะกลุ่มกันเป็นก้อนใหญ่ หรือเกาะติดกับผนังภาชนะ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการแลกเปลี่ยนก๊าซและสารอาหาร.
ความไม่เสถียรทางพันธุกรรม (Genetic Instability): เซลล์ในระบบแขวนลอยอาจมีความไม่เสถียรทางพันธุกรรมสูง เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครโมโซมหรือการกลายพันธุ์ (somaclonal variation) ได้ง่ายกว่าเซลล์ในเนื้อเยื่อที่มีการจัดระเบียบ.
ผลผลิตสารทุติยภูมิต่ำ (Low Secondary Metabolite Yield): บ่อยครั้งที่เซลล์แขวนลอยซึ่งเป็นเซลล์ที่ยังไม่พัฒนาเต็มที่ (undifferentiated) จะผลิตสารทุติยภูมิได้ในปริมาณที่น้อยกว่าที่พบในต้นพืชปกติ หรือในเนื้อเยื่อที่มีการพัฒนาเฉพาะทาง. เนื่องจากกระบวนการสังเคราะห์และสะสมสารเหล่านี้ในพืชมักมีความซับซ้อน เกี่ยวข้องกับอวัยวะหรือเนื้อเยื่อเฉพาะ และถูกควบคุมโดยปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งสภาวะในเซลล์แขวนลอยอาจไม่เอื้ออำนวยเท่าที่ควร การเพิ่มผลผลิตจึงมักต้องอาศัยเทคนิคเพิ่มเติม เช่น การให้สารกระตุ้น (elicitation), การเติมสารตั้งต้น (precursor feeding), หรือการดัดแปลงพันธุกรรม.
ต้นทุนสูง (High Cost): ทั้งการลงทุนเริ่มแรกในอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องการผลิตสารทุติยภูมิในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งอาจคุ้มค่าเฉพาะกับสารที่มีราคาแพงมากเท่านั้น.
5. เทคนิคอื่นๆ ที่น่าสนใจ
นอกเหนือจาก 3 เทคนิคหลักที่กล่าวมาแล้ว ยังมีเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชอื่นๆ ที่มีความสำคัญและน่าสนใจ ซึ่งมักใช้เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะทาง ได้แก่
การเพาะเลี้ยงอับละอองเรณู
เทคนิคนี้เป็นการนำ อับละอองเรณู (anther) ซึ่งเป็นส่วนของเกสรตัวผู้ที่สร้างละอองเรณู หรือนำ ละอองเรณู (pollen grain หรือ microspore) ที่ยังเจริญไม่เต็มที่ มาเพาะเลี้ยงบนอาหารสังเคราะห์. ละอองเรณูเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ ซึ่งมีจำนวนโครโมโซมเพียงครึ่งเดียวของเซลล์ร่างกายปกติ (เรียกว่า แฮพลอยด์ - haploid, n).
ภายใต้สภาวะการเลี้ยงที่เหมาะสม ละอองเรณูเหล่านี้สามารถถูกชักนำให้พัฒนาไปเป็น เอ็มบริโอ (embryo) หรือ แคลลัส (callus) ที่มีโครโมโซมชุดเดียว (haploid) ได้. จากนั้น เอ็มบริโอหรือแคลลัสแฮพลอยด์เหล่านี้สามารถพัฒนาต่อไปเป็น ต้นพืชแฮพลอยด์ (haploid plant) ได้.
ประโยชน์หลักของการสร้างพืชแฮพลอยด์คือ เพื่อนำไปใช้ใน งานปรับปรุงพันธุ์พืช. เมื่อได้ต้นพืชแฮพลอยด์แล้ว นักปรับปรุงพันธุ์สามารถใช้สารเคมี เช่น โคลชิซิน (colchicine) เพื่อชักนำให้เกิดการเพิ่มจำนวนชุดโครโมโซมขึ้นเป็น 2 เท่า (chromosome doubling) ทำให้ได้ต้นพืช ดิพลอยด์ (diploid, 2n) ที่มียีนทุกคู่เหมือนกันหมด หรือที่เรียกว่า ดับเบิลแฮพลอยด์ (Doubled Haploid - DH) ซึ่งเป็น สายพันธุ์แท้ (homozygous line หรือ pure line) อย่างสมบูรณ์.
กระบวนการนี้ช่วย ย่นระยะเวลา ในการสร้างสายพันธุ์แท้ได้อย่างมหาศาล จากเดิมที่ต้องใช้เวลาผสมตัวเอง (self-pollination) หลายชั่วรุ่น (อาจนาน 6-7 ปี หรือมากกว่า) ให้เหลือเพียงชั่วรุ่นเดียว. การได้สายพันธุ์แท้อย่างรวดเร็วนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสม (hybrid seeds) และการศึกษาทางพันธุศาสตร์ เนื่องจากลักษณะต่างๆ ที่ควบคุมโดยยีนด้อย (recessive genes) จะสามารถแสดงออกมาให้เห็นได้ทันทีในพืชแฮพลอยด์. อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้มีความซับซ้อนและอัตราความสำเร็จมักขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น พันธุ์พืช ระยะพัฒนาการของละอองเรณู สภาพของต้นแม่ และสูตรอาหารที่ใช้.
การสร้างต้นจากแคลลัส
แคลลัส (Callus) คือกลุ่มก้อนของเซลล์พืชที่ยังไม่มีการพัฒนาหรือพัฒนาไปน้อยมาก (undifferentiated or poorly differentiated) ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเนื้อเยื่อหรืออวัยวะชนิดใด. ในธรรมชาติ แคลลัสมักเกิดขึ้นบริเวณบาดแผลของพืช. ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เราสามารถชักนำให้เกิดแคลลัสได้จากชิ้นส่วนพืช (explants) แทบทุกชนิด เช่น ใบ ลำต้น ราก หรือแม้แต่เมล็ด โดยการเพาะเลี้ยงบนอาหารสังเคราะห์ที่เติมสารควบคุมการเจริญเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ออกซิน (auxin) เช่น 2,4-D หรือ NAA ในระดับความเข้มข้นที่ค่อนข้างสูง ร่วมกับ ไซโทไคนิน (cytokinin) ในระดับที่เหมาะสม.
แคลลัสที่ได้สามารถนำไปเลี้ยงเพิ่มปริมาณได้โดยการตัดแบ่งและย้ายลงบนอาหารใหม่เป็นระยะๆ (subculture). ที่สำคัญคือ แคลลัสเหล่านี้ยังคงรักษาคุณสมบัติโททิโพเทนซีไว้ ทำให้สามารถ ชักนำให้พัฒนา (redifferentiate) กลับไปเป็นอวัยวะต่างๆ เช่น ยอดและราก (ผ่านกระบวนการ organogenesis) หรือพัฒนาเป็นโครงสร้างคล้ายเอ็มบริโอ (ผ่านกระบวนการ somatic embryogenesis) ได้ เมื่อทำการปรับเปลี่ยนอัตราส่วนและชนิดของฮอร์โมนในอาหารเลี้ยง โดยทั่วไปมักจะลดระดับออกซินลงและ/หรือเพิ่มระดับไซโทไคนินให้สูงขึ้น.
ดังนั้น การเพาะเลี้ยงแคลลัสจึงไม่ได้เป็นเพียงเป้าหมายสุดท้ายเสมอไป แต่มักถูกใช้เป็น ขั้นตอนกลาง (intermediate step) ในหลายๆ วัตถุประสงค์ ได้แก่
การขยายพันธุ์พืช: โดยเฉพาะในกรณีที่ชิ้นส่วนเริ่มต้นมีจำกัด หรือพืชชนิดนั้นชักนำให้เกิดยอดโดยตรงได้ยาก การสร้างแคลลัสก่อนแล้วค่อยชักนำให้เกิดยอดจำนวนมากจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง.
แหล่งของเซลล์แขวนลอย: แคลลัสชนิด friable เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างเซลล์แขวนลอย.
การผลิตสารทุติยภูมิ: สามารถนำแคลลัสไปเลี้ยงเพื่อผลิตสารสำคัญได้เช่นเดียวกับเซลล์แขวนลอย.
งานด้านพันธุวิศวกรรม: แคลลัสเป็นเป้าหมายที่นิยมใช้ในการส่งถ่ายยีน (gene transformation) เนื่องจากเซลล์ไม่มีการจัดระเบียบซับซ้อนเท่าเนื้อเยื่อปกติ ทำให้ยีนเข้าสู่เซลล์ได้ง่ายกว่า จากนั้นจึงค่อยชักนำให้แคลลัสที่ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมแล้วพัฒนาเป็นต้นพืชใหม่.
การศึกษาการกลายพันธุ์ (Somaclonal Variation): กระบวนการเกิดแคลลัสและการสร้างต้นใหม่จากแคลลัสนั้น เกี่ยวข้องกับการที่เซลล์ต้องผ่านการสูญเสียสภาพเดิม (dedifferentiation) และการพัฒนาสภาพขึ้นใหม่ (redifferentiation) ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนในระดับสูง ซึ่งกระบวนการนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าสามารถชักนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมหรือการแสดงออกของยีนได้ง่ายกว่าการขยายพันธุ์ที่อาศัยเนื้อเยื่อเจริญที่มีการจัดระเบียบอยู่แล้ว. แม้ว่าการกลายพันธุ์นี้อาจเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการในการขยายพันธุ์เพื่อให้ได้ลักษณะเดิม แต่ในบางกรณีก็อาจเป็นประโยชน์ในการคัดเลือกหาลักษณะแปลกใหม่ หรือลักษณะที่ทนทานต่อสภาวะที่ไม่เหมาะสมได้.
การศึกษาพัฒนาการของพืช: ใช้เป็นโมเดลในการศึกษากลไกการควบคุมการพัฒนาของเซลล์และอวัยวะพืช
นอกจากนี้ ลักษณะภายนอกของแคลลัส เช่น สี (ขาว เหลือง เขียว แดง ม่วง น้ำตาล) หรือลักษณะเนื้อ (แน่น-compact หรือ ร่วน-friable) อาจมีความสัมพันธ์กับความสามารถในการสร้างต้นใหม่ หรือความสามารถในการผลิตสารทุติยภูมิได้. ตัวอย่างเช่น งานวิจัยในกระเจี๊ยบแดงพบว่าแคลลัสสีแดงเข้มสามารถผลิตสารแอนโทไซยานินและสารประกอบฟีนอลิกได้สูงกว่าแคลลัสสีแดงหรือสีเขียวขาว. การสังเกตลักษณะเหล่านี้จึงอาจใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นในการคัดเลือกแคลลัสที่มีศักยภาพสำหรับเป้าหมายที่ต้องการได้
6. ตารางเปรียบเทียบเทคนิคหลัก
เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างของเทคนิคยอดนิยม 3 วิธีหลักได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถสรุปเปรียบเทียบได้ดังตารางต่อไปนี้:
คุณลักษณะ | การเพาะเลี้ยงข้อ/ตา (Node Culture) | การเพาะเลี้ยงปลายยอด (Shoot Tip/Meristem Culture) | การเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอย (Cell Suspension Culture) |
ชิ้นส่วนเริ่มต้น | ข้อที่มีตาข้าง (Node with axillary bud) | เนื้อเยื่อเจริญปลายยอด +/- ใบอ่อน (Apical meristem +/- leaf primordia) | แคลลัสชนิดร่วน (Friable callus) หรือเซลล์เดี่ยว |
วัตถุประสงค์หลัก | การขยายพันธุ์ให้ได้จำนวนมากและตรงตามพันธุ์ (Clonal propagation) | การผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรค โดยเฉพาะไวรัส (Virus elimination) | การผลิตสารทุติยภูมิ, การวิจัยเซลล์, การขยายขนาดการผลิต |
ข้อดีเด่น | ความคงทนทางพันธุกรรมสูง (High genetic fidelity), เทคนิคไม่ซับซ้อนมาก | สามารถกำจัดไวรัสและเชื้อโรคในระบบท่อลำเลียงได้ (Effective pathogen removal) | ควบคุมสภาวะได้แม่นยำ, เหมาะกับการขยายขนาดใน Bioreactor, เข้าถึงเซลล์เพื่อการศึกษาได้ง่าย |
ข้อควรพิจารณา/ความท้าทายหลัก | ไม่กำจัดไวรัส, อัตราเพิ่มจำนวนอาจไม่เร็วที่สุด | ต้องการทักษะสูง (micro-dissection), อัตราการรอดต่ำ, โตช้าในระยะแรก | เสี่ยงต่อการปนเปื้อนสูง, อาจเกิดความไม่เสถียรทางพันธุกรรม, ผลผลิตสารอาจต่ำ, ต้นทุนสูง |
ตัวอย่างการใช้งานทั่วไป | ขยายพันธุ์ไม้ประดับ, สมุนไพร, ไม้ผลหลายชนิด | ผลิตต้นแม่พันธุ์ปลอดไวรัสของ มันฝรั่ง, กล้วย, สตรอว์เบอร์รี่, กระเทียม, กล้วยไม้ | ผลิตสาร Shikonin, Ginsenosides, Taxol; ศึกษาเมแทบอลิซึมของเซลล์ |
หมายเหตุ: ตารางนี้เป็นการสรุปภาพรวม ข้อดีข้อเสียและความเหมาะสมอาจแตกต่างกันไปในพืชแต่ละชนิด
7.เลือกเทคนิคให้เหมาะกับเป้าหมาย
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเป็นกลุ่มของเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายและทรงพลัง แต่ละเทคนิคมีจุดเด่น จุดด้อย และวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป. การเพาะเลี้ยงข้อหรือตา (Node Culture) เหมาะสำหรับการขยายพันธุ์พืชที่ต้องการรักษาลักษณะเดิมของแม่พันธุ์ไว้ให้คงที่. การเพาะเลี้ยงปลายยอด (Shoot Tip/Meristem Culture) เป็นเครื่องมือสำคัญในการผลิตต้นพันธุ์ที่สะอาด ปลอดจากเชื้อโรค โดยเฉพาะไวรัส ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในพืชที่ขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ. ส่วนการเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอย (Cell Suspension Culture) มุ่งเน้นไปที่การใช้เซลล์พืชเป็นเสมือนโรงงานขนาดเล็กเพื่อผลิตสารทุติยภูมิที่มีคุณค่า หรือใช้เป็นระบบในการศึกษากลไกต่างๆ ในระดับเซลล์. นอกจากนี้ เทคนิคเฉพาะทางอย่างการเพาะเลี้ยงอับละอองเรณู (Anther Culture) ก็เข้ามาช่วยเร่งกระบวนการปรับปรุงพันธุ์พืชให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ขณะที่การเพาะเลี้ยงแคลลัส (Callus Culture) ก็มีบทบาทสำคัญในฐานะขั้นตอนกลางสำหรับหลายๆ การประยุกต์ใช้
การตัดสินใจเลือกใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อวิธีใดนั้น ไม่ใช่เพียงแค่การเลือกตามความนิยม แต่เป็น การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ที่ต้องพิจารณาปัจจัยหลายด้านประกอบกัน ได้แก่
เป้าหมายหลัก (Goal): ต้องการอะไรจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ? ขยายพันธุ์จำนวนมาก? กำจัดโรค? สร้างพันธุ์ใหม่? หรือผลิตสารเคมี? เป้าหมายที่ชัดเจนจะเป็นตัวกำหนดทิศทางในการเลือกเทคนิคที่เหมาะสมที่สุด
ชนิดและสายพันธุ์พืช (Plant Species/Genotype): พืชแต่ละชนิด หรือแม้แต่แต่ละสายพันธุ์ มีการตอบสนองต่อเทคนิคและสูตรอาหารที่แตกต่างกันอย่างมาก. พืชบางชนิดอาจเพาะเลี้ยงได้ง่าย ในขณะที่บางชนิด (เช่น ไม้เนื้อแข็งบางชนิด) อาจเพาะเลี้ยงได้ยากมาก (recalcitrant) และต้องการการวิจัยและพัฒนาโปรโตคอลเฉพาะทางอย่างเข้มข้น
ทรัพยากรที่มี (Available Resources): การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชต้องอาศัยห้องปฏิบัติการที่มีอุปกรณ์เฉพาะทาง สารเคมี และที่สำคัญคือ บุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญและประสบการณ์. บางเทคนิค เช่น การเพาะเลี้ยงปลายยอด หรือการเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอยในถังปฏิกรณ์ชีวภาพ มีความต้องการด้านเทคนิคและงบประมาณสูงกว่าเทคนิคพื้นฐานอย่างการเพาะเลี้ยงข้อ
สภาพของชิ้นส่วนเริ่มต้น (Explant Condition): ความสมบูรณ์ ปริมาณ และความสะอาดของเนื้อเยื่อจากต้นแม่พันธุ์ก็เป็นปัจจัยสำคัญ
ความสำเร็จของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชนั้น แม้จะดูเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง แต่บ่อยครั้งก็ยังต้องอาศัย การทดลองและปรับปรุง (empirical optimization) เพื่อหาสภาวะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพืชแต่ละชนิดและแต่ละเป้าหมาย. ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวที่ใช้ได้กับทุกพืช การวิจัยพื้นฐานเพื่อทำความเข้าใจการตอบสนองของพืชแต่ละชนิด และประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติงานจึงยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง.
มองไปในอนาคต การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชยังมีศักยภาพในการพัฒนาต่อไปอีกมาก เช่น การนำระบบอัตโนมัติ (automation) และหุ่นยนต์เข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ , การบูรณาการเข้ากับเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมเพื่อสร้างพืชที่มีคุณลักษณะใหม่ๆ ตามต้องการ , การพัฒนาเทคนิคสำหรับพืชที่เพาะเลี้ยงได้ยาก และการประยุกต์ใช้เพื่อสนับสนุนเกษตรกรรมยั่งยืนและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเป็นสาขาที่มีพลวัตและเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการตอบโจทย์ความท้าทายต่างๆ ทั้งในภาคเกษตรกรรม พืชสวน อุตสาหกรรม การอนุรักษ์ และการวิจัย การทำความเข้าใจในหลักการ ข้อจำกัด และวัตถุประสงค์ของแต่ละเทคนิค จะช่วยให้เราสามารถเลือกใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมต่อไป
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
www.thaitissues.com, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.thaitissues.com/post/plant-tissue-culture#:~:text=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%20(Plant%20Tissue%20Culture)%20%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%20%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3,%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช - วิกิพีเดีย, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช 2, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://www.eto.ku.ac.th/neweto/e-book/other/cell_plant.pdf
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพันธุ์ไม้ป่า Tissue Culture in Forest Tree, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://forprod.forest.go.th/forprod/techtransfer/document/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9D%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD.pdf
ข้อดีของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช - สวนเกษตร 32, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.kaset32farm.com/article/plant-news/plant-tissue-culture/
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช - Thai Tissue, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.thaitissues.com/post/plant-tissue-culture
old-book.ru.ac.th, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://old-book.ru.ac.th/e-book/b/BT433(H)(48)/BT433(H)(48)-10.pdf
Plant Tissue Culture - ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษานราธิวาส, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.narasci.go.th/8151/
ประโยชน์ของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกับการเกษตร, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.doa.go.th/biotech/wp-content/uploads/2023/09/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%9A-4-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3.pdf
บทที่ 10, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://old-book.ru.ac.th/e-book/a/AG103(54)/chapter10.pdf
การนำวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ - sirindhorn.net, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://sirindhorn.net/sub/book/book.php?book=31&chap=5&page=t31-5-infodetail06.html
ประโยชน์ของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช - Thailand: The Royal Chitralada Projects Home Page, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://web.ku.ac.th/nk40/nk/data/08/nk1p8k8.htm
เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช - (Plant Tissue Culture) - เว็บไซต์สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_j/2545_50_160_p1-4.pdf
การเพาะเลี้ยงอับเรณูและผลของโบรอนต่อคุณภาพ, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://sutir.sut.ac.th:8080/sutir/bitstream/123456789/4057/2/Fulltext.pdf
PRODUCTION OF SECONDARY METABOLITES BY ... - ThaiScience, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.thaiscience.info/journals/Article/JHRE/10893671.pdf
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ - Flip eBook Pages 1-34 | AnyFlip, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://anyflip.com/mwjuj/dhmt/basic
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://blog.bru.ac.th/wp-content/uploads/bp-attachments/36702/1.-%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A.pdf
การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชสวนพันธุ์ดี โดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในระบบจมชั่วคราว - กรมวิชาการเกษตร, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.doa.go.th/hc/loei/wp-content/uploads/2024/11/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7.pdf
วิชา TA 445 เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเพื่อการเกษตร (Plant Tissue Culture for Agricultural Technology), เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://qa.bkkthon.ac.th/qa/qa56/420374686.pdf
มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://saranukromthai.or.th/oldchild/2840
ผลของสารควบคุมการเจริญเติบโตและชนิดของอาหารสูตร MS - ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tstj/article/download/42580/35182
การขยายพันธุ์พืชไฮเดรนเยีย (Hydrangea macrophylla) ในสภาพปล - TU Digital Collections, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/digital/api/DownloadDigitalFile/dowload/194069
163-170 (2553). - การเพิ่มจำนวนยอดและชักนำให้เกิดรากของไผ่เลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ - คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://ag2.kku.ac.th/kaj/PDF.cfm?filename=08-Yaowapha.pdf&id=340&keeptrack=195
การขยายพันธุ์พืชในมะเขือเทศโดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ - ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/anres/article/download/241562/164810/
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้หางช้างโดยใช้สารพาโคลบิวทราโซล Tissue Culture of Grammatophyllum speciosum by, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://race.nstru.ac.th/home_ex/e-portfolio//pic/academy/22292127.pdf?1738038322
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมันเสา - มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://sciencejournal.pbru.ac.th/index.php/component/phocadownload/category/1-10-1-2556?download=4:56-3
การขยายพันธุ์ในหลอดทดลองของต้นจอกหินตะนาวศรี (Dorcoceras brunneum C.Puglisi) พืชใกล้ - Burapha Science Journal, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://scijournal.buu.ac.th/index.php/sci/article/view/4236/3496
การขยายพันธุ์ส่องฟ้าโดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ Micropropagation of Clausena guillauminii Tanaka - มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www.ubu.ac.th/web/files_up/00008f2022090117232456.pdf
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกุหลาบหนูโดยอาหารเพ - วารสารวิชาการวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ - มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://ajsas.uru.ac.th/files_complete/1592842455_5462.pdf
การฟอกฆ่าเชื้อและการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชต้นทุนต่่าเพื่อการขยายพันธุ์มันเหน็บ Dioscorea bulbifera† Sterilization and, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://wjst.wu.ac.th/index.php/stssp/article/download/25756/2356/73136
รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ การถ่ายทอดเทคโนโลยีช - คณะทรัพยากรธรรมชาติ, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://natres.psu.ac.th/rise/research-office/wp-content/uploads/2024/04/2017_June_TransferBiotechSchool.pdf
การขยายพันธุ์ขมิ้นชัน (Curcuma longa L.) - SWU eJournals System, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://ejournals.swu.ac.th/index.php/sej/article/download/5329/5014/17628
การชักนำให้เกิดแคลลัส และปริมาณสารต้านอนุมู - ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/tstj/article/download/210589/170777
การชักนำให้เกิดแคลลัสในกล้วย - HECTOR, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://hectortarr.arda.or.th/api/uploaded_file/MiXGTjjBTcpMqzDJ1mtXl
การผลิตมันเทศปลอดไวรัส SPFMV และ SPCSV โดยใช้เทคนิค การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ Production of SPFMV-free and - ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/download/215937/150717/696219
การเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืชเนระพูสีไทยใน I, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://www.repository.rmutt.ac.th/xmlui/bitstream/123456789/2614/1/RMUTT-147681.pdf
บทที่1 ประวัติและความสําคัญของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://www.kruseksan.com/book/tissue1.pdf
การทําให้อาหารเพาะเลียงเนือเยือพืชปลอดเชือ - Silpakorn University, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://sure.su.ac.th/xmlui/bitstream/handle/123456789/10174/fulltext.pdf?sequence=2&isAllowed=y
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช - ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 5 จังหวัดบุรีรัมย์, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 http://www.aopdt06.doae.go.th/Dataknowledge/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD.pdf
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไม้ด่าง, เข้าถึงเมื่อ เมษายน 27, 2025 https://www3.rdi.ku.ac.th/wp-contents/uploads/2019/03/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%8อ
Comentários