มือใหม่หัดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช เริ่มต้นง่ายๆ ได้ที่บ้าน
- Thai Tissue Admin
- 6 วันที่ผ่านมา
- ยาว 10 นาที

1.มหัศจรรย์การโคลนนิ่งพืชในขวดแก้ว
เคยตื่นเต้นเมื่อเห็นต้นไม้จิ๋วๆ เติบโตอย่างน่าอัศจรรย์ในขวดแก้วหรือภาชนะใสกันไหมครับ? นั่นคือผลลัพธ์ของเทคนิคที่เรียกว่า "การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช" (Plant Tissue Culture) ซึ่งเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้เราสามารถขยายพันธุ์พืชต้นโปรด หรือแม้แต่พืชหายาก ให้มีจำนวนมากขึ้นได้จากชิ้นส่วนเล็กๆ ของพืชต้นแม่เพียงต้นเดียว. แม้จะฟังดูเหมือนเป็นเรื่องในห้องปฏิบัติการขั้นสูง แต่ความจริงแล้ว ด้วยความเข้าใจในหลักการและเทคนิคพื้นฐาน มือใหม่อย่างเราๆ ก็สามารถเริ่มต้นทดลองทำที่บ้านได้ไม่ยากอย่างที่คิด.
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช คือ การนำเอาชิ้นส่วนเล็กๆ ของพืช ไม่ว่าจะเป็นเซลล์, เนื้อเยื่อ, หรืออวัยวะขนาดเล็ก (ที่เราเรียกว่า Explant) มาเพาะเลี้ยงบนอาหารสังเคราะห์ที่เตรียมขึ้นเป็นพิเศษ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ควบคุมและที่สำคัญที่สุดคือ "ปลอดเชื้อ" (Aseptic condition). หลักการสำคัญเบื้องหลังคือคุณสมบัติที่เรียกว่า "โททิโพเทนซี" (Totipotency) ของเซลล์พืช ซึ่งหมายความว่าเซลล์พืชแต่ละเซลล์ (ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม) มีศักยภาพที่จะพัฒนาและเจริญเติบโตไปเป็นต้นพืชที่สมบูรณ์ได้ทั้งต้น โดยมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ทุกประการ.
แล้วทำไมเราถึงควรลองทำการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชที่บ้านล่ะ? ประโยชน์มีมากมายเลยครับ
ขยายพันธุ์พืชหายากหรือราคาแพง: สามารถเพิ่มจำนวนพืชที่เราต้องการได้มากมายจากต้นแม่เพียงต้นเดียวหรือชิ้นส่วนเล็กๆ.
ได้ต้นพืชปลอดโรค: เนื่องจากกระบวนการทำในสภาพปลอดเชื้อ ต้นพืชที่ได้จึงมักจะสะอาด ปราศจากโรคและแมลงที่อาจติดมากับวิธีการขยายพันธุ์แบบอื่น.
กิจกรรมท้าทายและเรียนรู้: เป็นงานอดิเรกที่ต้องใช้ความใส่ใจ ความประณีต ได้ฝึกทักษะ และได้เฝ้าดูการเติบโตของพืชอย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอน.
ทำได้ทุกเวลา: ไม่ต้องรอฤดูกาลหรือสภาพอากาศที่เหมาะสมเหมือนการเพาะปลูกทั่วไป.
ในบทความนี้ เราจะพาไปสำรวจภาพรวมของอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็น (ซึ่งหลายอย่างหาได้ในครัวเรือนหรือประดิษฐ์เองได้), ขั้นตอนง่ายๆ สำหรับการเริ่มต้น, เคล็ดลับและข้อควรระวังที่สำคัญ รวมถึงแนะนำชนิดพืชที่เหมาะสำหรับมือใหม่.
แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น มีคำเตือนสำคัญที่ต้องเน้นย้ำกันก่อน: หัวใจของความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชอยู่ที่ "ความสะอาด" และ "ความอดทน" อย่างแท้จริง. การรักษาทุกอย่างให้ปลอดเชื้อคือความท้าทายอันดับหนึ่ง หากละเลยเพียงเล็กน้อย การปนเปื้อนจากเชื้อจุลินทรีย์จะเข้ามาทำลายความพยายามของเราได้ง่ายๆ. เตรียมใจให้พร้อม แล้วมาเริ่มต้นการเดินทางอันน่าทึ่งนี้ไปด้วยกันครับ!
2.กฎเหล็กข้อสำคัญ รู้จักกับเทคนิคปลอดเชื้อ
หากจะบอกว่ามีสิ่งใดสำคัญที่สุดในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช คำตอบนั้นคือ "การรักษาความสะอาดและสภาพปลอดเชื้อ" หรือที่เรียกว่า "เทคนิคปลอดเชื้อ" (Aseptic Technique) อย่างไม่ต้องสงสัย. ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? คำตอบง่ายๆ คือ อาหารสังเคราะห์ที่เราใช้เลี้ยงเนื้อเยื่อพืชนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการเติบโตของพืช ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล แร่ธาตุ วิตามินต่างๆ ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ก็เป็นแหล่งอาหารชั้นเลิศสำหรับเหล่าจุลินทรีย์ตัวจิ๋ว ทั้งแบคทีเรียและเชื้อรา ที่ล่องลอยอยู่ทั่วไปในอากาศ บนผิวหนัง บนมือของเรา หรือแม้กระทั่งบนอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยเช่นกัน. หากจุลินทรีย์เหล่านี้มีโอกาสปนเปื้อนลงไปในอาหารเลี้ยงเชื้อแม้เพียงเล็กน้อย พวกมันจะเจริญเติบโตและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว แย่งชิงสารอาหารจากเนื้อเยื่อพืช และในที่สุดก็จะเข้าทำลายเนื้อเยื่อพืชที่เราอุตส่าห์เลี้ยงดูมาจนหมดสิ้น. การปนเปื้อนเพียงเล็กน้อยสามารถทำลายความพยายามหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนได้ในพริบตา.
แหล่งที่มาของการปนเปื้อน (Sources of Contamination) ที่เราต้องระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำในสภาพแวดล้อมที่บ้านซึ่งควบคุมความสะอาดยากกว่าห้องปฏิบัติการ มีดังนี้
อากาศ: เป็นแหล่งที่สำคัญที่สุด เพราะมีฝุ่นละออง สปอร์ของเชื้อรา และแบคทีเรียลอยปะปนอยู่มากมาย พร้อมจะตกลงสู่ภาชนะเพาะเลี้ยงที่เปิดอยู่ตลอดเวลา.
อุปกรณ์และภาชนะ: ขวด ปากคีบ ใบมีด หรือภาชนะอื่นๆ หากล้างไม่สะอาด หรือผ่านการฆ่าเชื้อที่ไม่สมบูรณ์ ก็จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อได้.
อาหารเลี้ยงเชื้อ: การเตรียมอาหารที่ไม่สะอาด หรือการฆ่าเชื้ออาหารที่ไม่ได้มาตรฐาน (เช่น ใช้ความร้อนหรือเวลาไม่เพียงพอ) จะทำให้มีเชื้อหลงเหลือและเจริญเติบโตในอาหารได้.
ชิ้นส่วนพืช (Explant): ผิวของพืชที่นำมาเลี้ยงอาจมีเชื้อจุลินทรีย์เกาะติดอยู่ หรือในบางกรณี อาจมีเชื้อแฝงอยู่ภายในเนื้อเยื่อพืช (Endophytes/Epiphytes) ซึ่งกำจัดได้ยาก.
ตัวผู้ปฏิบัติงาน: มือที่ไม่สะอาด ลมหายใจ เสื้อผ้า เส้นผม ล้วนเป็นแหล่งนำเชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่ระบบได้ทั้งสิ้น.
แมลงหรือไร: สัตว์เล็กๆ เหล่านี้อาจเป็นพาหะนำสปอร์ของเชื้อราหรือแบคทีเรียเข้ามาปนเปื้อนในภาชนะเพาะเลี้ยงได้.
ผลกระทบของการปนเปื้อน (Consequences of Contamination) นั้นร้ายแรงและน่าผิดหวัง
เนื้อเยื่อพืชตายหรือเสียหาย: เชื้อจุลินทรีย์จะแย่งสารอาหารและปล่อยสารพิษ ทำให้เนื้อเยื่อพืชอ่อนแอ หยุดการเจริญเติบโต หรือตายในที่สุด บางครั้งอาจทำให้เนื้อเยื่อเจริญผิดรูปผิดร่างไป.
สูญเสียทรัพยากร: เสียทั้งเวลาที่ลงแรงไป เสียค่าอาหาร สารเคมี และค่าไฟฟ้าโดยเปล่าประโยชน์.
การแพร่กระจาย: หากไม่รีบกำจัด ขวดที่ปนเปื้อนสามารถแพร่เชื้อไปยังขวดอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างได้.
อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม: แม้จะไม่ใช่ปัญหาหลักในระดับเริ่มต้น แต่การปนเปื้อนรุนแรงในระยะยาวอาจส่งผลต่อความคงที่ทางพันธุกรรมของพืชได้.
ดังนั้น หลักการสำคัญของเทคนิคปลอดเชื้อ คือ ชุดของวิธีการปฏิบัติที่ออกแบบมาเพื่อ "ป้องกัน" ไม่ให้จุลินทรีย์จากภายนอกเข้าสู่ระบบการเพาะเลี้ยงได้ในทุกขั้นตอน. ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ
การฆ่าเชื้อ (Sterilization): คือการทำลายเชื้อจุลินทรีย์ ทั้งหมด รวมถึงสปอร์ที่ทนทาน บนอาหารเลี้ยงเชื้อ ภาชนะ และเครื่องมือที่จะสัมผัสกับเนื้อเยื่อพืชโดยตรง เช่น การใช้หม้อนึ่งความดัน.
การทำความสะอาด/ฆ่าเชื้อบนพื้นผิว (Disinfection): คือการลดจำนวนเชื้อจุลินทรีย์บนพื้นผิวทำงาน มือ (ที่สวมถุงมือ) หรืออุปกรณ์ที่ไม่สามารถนึ่งฆ่าเชื้อได้ เช่น การใช้แอลกอฮอล์ 70% เช็ด.
การทำงานในพื้นที่ควบคุม (Controlled Environment): คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ลดโอกาสที่เชื้อจากอากาศจะตกลงมาปนเปื้อนระหว่างการทำงาน เช่น การทำงานในตู้ปลอดเชื้อ.
ความท้าทายที่เพิ่มขึ้นของการปลอดเชื้อในบ้าน: ในห้องปฏิบัติการ chuyên nghiệp พวกเขามีเครื่องมือราคาแพงและเฉพาะทาง เช่น หม้อนึ่งความดันไอน้ำขนาดใหญ่ (Autoclave) และตู้ปลอดเชื้อแบบเป่าลมกรองอากาศ (Laminar Flow Hood) ซึ่งออกแบบมาเพื่อการฆ่าเชื้อและกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสูงสุด. แต่สำหรับการเริ่มต้นที่บ้าน เรามักจะไม่มีเครื่องมือเหล่านี้. เราอาจใช้หม้อนึ่งความดันสำหรับทำอาหาร หรือตู้พลาสติก DIY แทน ซึ่งแม้จะช่วยได้มาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อหรือป้องกันเชื้อในอากาศอาจไม่เทียบเท่าเครื่องมือในห้องแล็บ. การขาดเครื่องมือเฉพาะทางเหล่านี้หมายความว่า ความเสี่ยงที่จะเกิดการปนเปื้อนจากอากาศหรือการฆ่าเชื้อที่ไม่สมบูรณ์นั้นสูงกว่าในห้องแล็บอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้. ดังนั้น การปฏิบัติตามเทคนิคปลอดเชื้อในด้านอื่นๆ อย่างเคร่งครัด เช่น สุขอนามัยส่วนบุคคล (ล้างมือ สวมถุงมือ หน้ากาก), การเช็ดพื้นผิวด้วยแอลกอฮอล์บ่อยๆ, การทำงานอย่างระมัดระวังและรวดเร็วเพื่อลดเวลาที่ภาชนะเปิดสัมผัสอากาศ, จึงกลายเป็นสิ่ง จำเป็นอย่างยิ่งยวด เพื่อชดเชยข้อจำกัดด้านอุปกรณ์ ความสำเร็จของการทำที่บ้านจึงขึ้นอยู่กับความพิถีพิถันและความใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้มากกว่าปกติเสียอีก.
3. เตรียมพร้อมลงมือ: อุปกรณ์พื้นฐานสำหรับแล็บในครัวเรือน
เมื่อเข้าใจถึงความสำคัญของการปลอดเชื้อแล้ว ก็ถึงเวลามาเตรียมอุปกรณ์กันครับ ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องลงทุนสูงเหมือนห้องแล็บ เพราะหลายอย่างสามารถหาได้ง่ายๆ หรือประยุกต์ใช้จากของในครัวเรือนได้.
3.1 ภาชนะเพาะเลี้ยง (Culture Vessels): ใช้สำหรับใส่อาหารเลี้ยงเชื้อและเนื้อเยื่อพืช
ตัวเลือก:
ขวดแก้วทนร้อน: เช่น ขวดแยม, ขวดอาหารเด็ก, ขวดซอส หรือขวดแก้วอื่นๆ ที่มีฝาปิดและทนความร้อนจากการนึ่งได้.
ถ้วย/กล่องพลาสติกทนร้อน: เลือกชนิดพลาสติก PP (Polypropylene) ที่ระบุว่าทนความร้อนได้สูง (เข้าไมโครเวฟหรือนึ่งได้) และมีฝาปิดสนิท.
ถุงพลาสติกทนร้อน: เป็นทางเลือกที่ประหยัดมาก แต่ต้องเลือกชนิดที่ทนความร้อนสูงได้จริงๆ และต้องระวังเรื่องการปนเปื้อนที่ปากถุงเป็นพิเศษ.
ข้อดี-ข้อเสีย:
แก้ว: ทนทาน, ใช้ซ้ำได้หลายครั้ง, ล้างทำความสะอาดง่าย, มองเห็นการเจริญเติบโตชัดเจน แต่หนัก, แตกได้, และอาจราคาสูงกว่า.
พลาสติก PP: ราคาถูก, เบา, ไม่แตก, แต่บางชนิดอาจขุ่นมัวหลังใช้ไปนานๆ หรือใช้ซ้ำได้จำกัดครั้งกว่าแก้ว.
ถุง: ถูกสุดๆ, ประหยัดพื้นที่จัดเก็บและขนส่ง, แต่รูปทรงไม่แน่นอนทำให้เทอาหารยาก, เสี่ยงปนเปื้อนง่าย, และใช้แล้วทิ้ง.
การเลือก: ควรเลือกภาชนะที่ปากกว้างพอให้ใช้เครื่องมือ (ปากคีบ) สอดเข้าไปทำงานได้สะดวก, ทนอุณหภูมิสูงจากการนึ่งฆ่าเชื้อ (ประมาณ 121°C), และมีฝาปิดที่ค่อนข้างสนิทเพื่อป้องกันการปนเปื้อนหลังการฆ่าเชื้อ. หากใช้ฝาเกลียว ควรคลายเกลียวเล็กน้อยขณะนึ่งเพื่อป้องกันแรงดันทำให้ขวดแตก หรืออาจใช้จุกสำลีอุดแล้วหุ้มด้วยฟอยล์อลูมิเนียมแทนก็ได้.
3.2 อาหารเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Growth Medium): เป็นหัวใจสำคัญที่ให้สารอาหารแก่พืช
ความสำคัญ: เปรียบเสมือนดินและปุ๋ยในขวด ประกอบด้วยแร่ธาตุ, วิตามิน, น้ำตาล (เป็นแหล่งพลังงาน), ฮอร์โมนพืช (ถ้าจำเป็น), และสารที่ทำให้แข็งตัว (วุ้น).
สำหรับมือใหม่: วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้ อาหารผงสำเร็จรูปสูตร MS (Murashige & Skoog) ซึ่งเป็นสูตรมาตรฐานสากลที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย หาซื้อได้ง่าย และมีองค์ประกอบที่พืชส่วนใหญ่ต้องการครบถ้วน. เพียงนำผง MS มาผสมกับน้ำกลั่น, เติมน้ำตาลทรายขาว, เติมผงวุ้น, ปรับค่า pH (ถ้าทำได้), แล้วนำไปฆ่าเชื้อ.
ส่วนประกอบหลักที่ควรรู้:
ธาตุอาหารหลัก/รอง (Macro/Micronutrients): เช่น ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, โพแทสเซียม, แคลเซียม, แมกนีเซียม, เหล็ก, สังกะสี ฯลฯ
วิตามิน: เช่น ไทอามีน (B1), ไพริดอกซิน (B6), กรดนิโคตินิก
น้ำตาล (Sugar): ส่วนใหญ่ใช้น้ำตาลทรายขาว (Sucrose) เป็นแหล่งคาร์บอนและพลังงาน.
สารควบคุมการเจริญเติบโต (Plant Growth Regulators - PGRs): หรือฮอร์โมนพืช มักใช้กลุ่ม Auxins (เช่น NAA, IBA) เพื่อกระตุ้นการเกิดราก และ Cytokinins (เช่น BA, Kinetin, TDZ) เพื่อกระตุ้นการแตกยอด. อาหารสำเร็จรูปบางชนิดอาจไม่มีฮอร์โมนมาให้ ต้องซื้อแยกต่างหาก หรือบางชนิดอาจผสมมาให้แล้วสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ (เช่น สูตรแตกยอด, สูตรออกราก).
สารทำให้แข็งตัว (Gelling Agent): นิยมใช้ วุ้น (Agar) หรือ เจลแลนกัม (Gellan Gum) ทำให้อาหารมีลักษณะคล้ายวุ้น ช่วยพยุงเนื้อเยื่อพืช.
แหล่งซื้อ: สามารถหาซื้ออาหารผง MS, วุ้น, และฮอร์โมนพืชได้ตามร้านค้าออนไลน์ เช่น Lazada, Shopee โดยค้นหาคำว่า "อาหารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ MS" หรือ "MS medium" จะพบร้านค้าที่จำหน่ายโดยเฉพาะหลายร้าน. นอกจากนี้ ร้านขายเคมีภัณฑ์เกษตรหรืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์บางแห่งก็อาจมีจำหน่าย. มีทั้งแบบผงที่ต้องมาผสมเองทั้งหมด และแบบกึ่งสำเร็จรูปที่อาจผสมสารบางอย่างมาให้แล้ว หรือแม้กระทั่งแบบพร้อมใช้ที่ฆ่าเชื้อมาแล้วในถ้วยเล็กๆ.
3.3 เครื่องมือฆ่าเชื้อ (Sterilization Tools): อุปกรณ์สำคัญที่สุดในการกำจัดเชื้อจุลินทรีย์
หัวใจสำคัญ: การฆ่าเชื้อ (Sterilization) คือการทำให้ ปราศจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิด 100% ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอาหารและอุปกรณ์ที่จะสัมผัสกับเนื้อเยื่อ.
ทางเลือกในบ้าน:
หม้อนึ่งความดัน (Pressure Cooker): นี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดและแนะนำอย่างยิ่งสำหรับผู้เริ่มต้นที่บ้าน. หม้อนึ่งความดันที่ใช้ทำอาหารทั่วไปสามารถสร้างอุณหภูมิและความดันได้สูงพอ (ประมาณ 121°C, 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว หรือ psi) ซึ่งใกล้เคียงกับเครื่อง Autoclave ในห้องปฏิบัติการ และสามารถฆ่าสปอร์ของแบคทีเรียและเชื้อราที่ทนความร้อนสูงได้. หาซื้อได้ง่ายตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านเครื่องครัว และราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่า Autoclave มาก.
หม้อนึ่งธรรมดา (Steamer) / หม้อต้ม: ใช้อุณหภูมิเพียง 100°C (จุดเดือดของน้ำ) ซึ่งอาจฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราส่วนใหญ่ได้ แต่ ไม่สามารถรับประกัน การทำลายสปอร์ที่ทนทานได้ทั้งหมด ทำให้มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนสูงกว่าการใช้หม้อนึ่งความดันอย่างมีนัยสำคัญ และต้องใช้เวลาในการนึ่งนานกว่ามาก (อาจต้องนึ่งซ้ำหลายครั้ง) วิธีนี้จึงไม่แนะนำหากต้องการความสำเร็จที่แน่นอน.
แอลกอฮอล์ 70% (Ethanol หรือ Isopropyl Alcohol): ใช้สำหรับ เช็ดฆ่าเชื้อ (Disinfection) บนพื้นผิวทำงาน, มือที่สวมถุงมือ, และเครื่องมือบางอย่างที่ไม่สามารถนึ่งได้ (เช่น ปากขวดด้านนอกหลังนึ่งเสร็จ). ข้อควรจำ: แอลกอฮอล์ไม่สามารถฆ่าสปอร์ได้ทุกชนิด และระเหยเร็ว จึง ไม่ เหมาะสำหรับใช้ฆ่าเชื้ออาหาร หรือเครื่องมือที่ต้องสัมผัสเนื้อเยื่อโดยตรง (เช่น ปากคีบ, ใบมีด ควรผ่านการนึ่งหรือลนไฟ).
(ทางเลือกเสริม) เตาอบความร้อนสูง (Dry Heat Oven): สามารถใช้ฆ่าเชื้อเครื่องแก้วหรือเครื่องมือโลหะได้ แต่ต้องใช้อุณหภูมิสูงมาก (เช่น 160-180°C) และใช้เวลานานหลายชั่วโมง ซึ่งไม่เหมาะกับอาหารเลี้ยงเชื้อหรือภาชนะพลาสติก และไม่สะดวกเท่าหม้อนึ่งความดัน.
3.4 เครื่องมือหยิบจับ (Handling Tools): ใช้สำหรับตัดแต่งและย้ายชิ้นส่วนพืช
ปากคีบปลายแหลมยาว (Forceps): ควรทำจากสแตนเลส ไม่เป็นสนิม และมีความยาวพอสมควร (ประมาณ 6 นิ้วขึ้นไป) เพื่อให้สามารถคีบชิ้นส่วนพืชในภาชนะลึกๆ ได้สะดวก.
มีดผ่าตัด (Scalpel) หรือ ใบมีดโกน/คัตเตอร์คมๆ: ใช้สำหรับตัดแต่งเนื้อเยื่อ ควรเลือกชนิดที่คมกริบ ทำจากสแตนเลส และเปลี่ยนใบมีดได้ หรือใช้ใบมีดใหม่ทุกครั้ง. บางคนอาจประยุกต์ใช้กรรไกรเล็กๆ ที่คมและฆ่าเชื้อได้แทน.
สำคัญ: เครื่องมือเหล่านี้ต้องผ่านการฆ่าเชื้อ ทุกครั้ง ก่อนนำมาใช้งาน วิธีที่ดีที่สุดคือห่อด้วยฟอยล์แล้วนึ่งในหม้อนึ่งความดันพร้อมกับอาหาร. อีกวิธีคือจุ่มแอลกอฮอล์ 70% แล้วนำไปลนไฟจากตะเกียงแอลกอฮอล์จนแอลกอฮอล์ระเหยหมด ต้องทำด้วยความระมัดระวังอย่างสูง และรอให้เย็นลงเล็กน้อยก่อนสัมผัสเนื้อเยื่อ.
3.5 พื้นที่ทำงานปลอดเชื้อ (Sterile Workspace): ลดโอกาสที่เชื้อจากอากาศจะตกลงไปปนเปื้อน
ความท้าทาย: อากาศในบ้านเต็มไปด้วยฝุ่นและสปอร์ การเปิดภาชนะเพื่อย้ายเนื้อเยื่อจึงเป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงที่สุด.
ทางเลือก DIY:
ตู้ปลอดเชื้ออย่างง่าย (Still Air Box - SAB): เป็นทางเลือกที่นิยมและทำได้ง่ายที่สุดสำหรับบ้าน ทำจากกล่องพลาสติกใสขนาดใหญ่ เจาะรูด้านหน้า 2 รู เพื่อสอดแขนเข้าไปทำงาน หลักการคือการสร้างพื้นที่ที่อากาศภายในค่อนข้างนิ่ง ไม่มีการไหลเวียนของลม ทำให้ฝุ่นและสปอร์ในอากาศตกลงสู่พื้นแทนที่จะฟุ้งกระจาย.
วิธีทำ: เลือกกล่องพลาสติกใสที่มีฝาปิด ขนาดใหญ่พอที่จะวางอุปกรณ์และทำงานได้สะดวก (เช่น ขนาด 50-60 ลิตร) เจาะรูขนาดพอดีแขน 2 รูที่ด้านหน้า อาจติดขอบยางหรือเทปพันสายไฟเพื่อลดความคม ทำความสะอาดภายในกล่องให้ทั่วด้วยสบู่แล้วเช็ดตามด้วยแอลกอฮอล์ 70% ก่อนใช้งานทุกครั้ง นำอุปกรณ์ที่ฆ่าเชื้อแล้วทั้งหมด (ขวดอาหาร, เครื่องมือ, จานรองตัด) เข้าไปวางข้างใน จากนั้นสอดแขน (ที่สวมถุงมือและเช็ดแอลกอฮอล์แล้ว) เข้าไปทำงานอย่างช้าๆ และนุ่มนวล หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วซึ่งจะทำให้อากาศภายในกระเพื่อม.
ข้อจำกัด: ตู้แบบนี้ไม่มีระบบกรองอากาศเหมือนตู้ Laminar Flow Hood ในห้องแล็บ ดังนั้นประสิทธิภาพจึงขึ้นอยู่กับความสะอาดเริ่มต้นและความนิ่งของอากาศภายในเป็นสำคัญ.
แหล่งซื้อ/ไอเดีย: มีตู้ SAB แบบสำเร็จรูปขายในราคาไม่แพงนักบน Shopee หรือ Lazada. หรือสามารถค้นหาวิธีประดิษฐ์ (DIY Still Air Box) ได้จาก YouTube ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ.
3.6 ของใช้อื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ (Other Useful Items)
น้ำกลั่น (Distilled Water): จำเป็นสำหรับผสมอาหารเลี้ยงเชื้อ และใช้ล้างชิ้นส่วนพืชหลังการฟอกฆ่าเชื้อ หาซื้อได้ตามร้านขายยา หรือร้านเคมีภัณฑ์.
น้ำยาฟอกขาว (Household Bleach): ยี่ห้อทั่วไปที่มีส่วนผสมของโซเดียมไฮโปคลอไรต์ (Sodium Hypochlorite) ใช้สำหรับฟอกฆ่าเชื้อผิวพืช.
แอลกอฮอล์ 70% (Ethanol หรือ Isopropyl Alcohol): สำหรับเช็ดฆ่าเชื้อพื้นผิวและอุปกรณ์.
น้ำตาลทรายขาว: เลือกชนิดที่ขาวสะอาด ไม่มีสีเจือปน.
ผงวุ้น (Agar): สำหรับทำให้อาหารแข็งตัว หาซื้อได้ตามร้านขายวัตถุดิบทำขนม หรือร้านเคมีภัณฑ์/ร้านค้าออนไลน์ที่ขายอุปกรณ์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อโดยเฉพาะ (คุณภาพอาจดีกว่า).
ถุงมือยาง หรือ ถุงมือไนไตรล์: แบบใช้แล้วทิ้ง เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากมือ.
หน้ากากอนามัย: ป้องกันเชื้อโรคจากลมหายใจ.
กระดาษวัดค่า pH หรือ เครื่องวัด pH (ถ้ามี): สำหรับตรวจสอบและปรับค่า pH ของอาหารเลี้ยงเชื้อให้เหมาะสม (ประมาณ 5.6-5.8) ซึ่งสำคัญต่อการดูดซึมสารอาหารของพืช. หากไม่มี อาจเริ่มต้นโดยใช้สูตรสำเร็จรูปและน้ำกลั่นที่ค่า pH ค่อนข้างเป็นกลางไปก่อน.
บีกเกอร์ หรือ ถ้วยตวง: สำหรับตวงส่วนผสมของเหลวและน้ำ.
แท่งแก้วคน หรือ ช้อนสแตนเลส: สำหรับคนส่วนผสมให้ละลาย.
ฟอยล์อลูมิเนียม หรือ จุกสำลี: สำหรับปิดปากภาชนะขณะนึ่งฆ่าเชื้อ.
(ทางเลือก) PPM (Plant Preservative Mixture): เป็นสารเคมีผสมที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารเลี้ยงเชื้อ สามารถเติมลงไปในอาหารก่อนหรือหลังนึ่งฆ่าเชื้อ (ขึ้นอยู่กับชนิด) ช่วยลดปัญหาการปนเปื้อนได้มาก โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่หรือเมื่อทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดเชื้อ 100%. อย่างไรก็ตาม PPM มีราคาค่อนข้างสูง และอาจมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืชบางชนิดได้ ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนใช้. อาจพิจารณาใช้หากประสบปัญหาการปนเปื้อนซ้ำๆ.
ข้อควรระวังเกี่ยวกับหม้อนึ่งความดัน: แม้ว่าหม้อนึ่งความดันจะเป็นเครื่องมือทดแทน Autoclave ที่ดีที่สุดในบ้าน และสามารถสร้างอุณหภูมิ (121°C) และแรงดัน (15 psi) ที่จำเป็นต่อการฆ่าเชื้อได้ แต่ก็มีข้อควรระวัง. หม้อนึ่งความดันในครัวเรือนต้องอาศัยการควบคุมเวลาและแรงดันด้วยตนเอง ซึ่งต่างจาก Autoclave ในห้องแล็บที่มีระบบควบคุมอัตโนมัติและแม่นยำกว่า. การนึ่งนานเกินไป (Over-sterilization) อาจทำให้อาหารเสื่อมสภาพ เช่น น้ำตาลไหม้เป็นสีน้ำตาล, วิตามินและฮอร์โมนสลายตัว, วุ้นไม่แข็งตัว หรือเกลือแร่ตกตะกอน ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตของพืช. ในทางกลับกัน การนึ่งน้อยเกินไป (Under-sterilization) ก็ไม่สามารถฆ่าสปอร์ที่ทนทานได้หมด ทำให้เกิดการปนเปื้อนในภายหลัง. ดังนั้น ผู้ใช้จึงต้องจับเวลาอย่างแม่นยำ โดยเริ่มนับเวลา 15-20 นาที หลังจากที่แรงดันในหม้อถึงระดับ 15 psi คงที่แล้วเท่านั้น และต้องคอยสังเกตให้แรงดันคงที่ตลอดระยะเวลาการนึ่ง. อาจกล่าวได้ว่ามีขอบเขตของความผิดพลาดน้อยกว่าการใช้เครื่องมือในห้องแล็บ ความใส่ใจในการควบคุมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก.
ตารางสรุปอุปกรณ์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสำหรับมือใหม่ที่บ้าน (Summary Table: Home Tissue Culture Equipment for Beginners)
อุปกรณ์ (Item) | หน้าที่ (Function) | สิ่งจำเป็น/ทางเลือก (Essential/Optional) | หาซื้อ/DIY (Where to Buy/DIY) | ข้อควรระวัง (Notes/Precautions) |
ภาชนะเพาะเลี้ยง (ขวดแก้ว/พลาสติก PP) | ใส่อาหารและเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช | จำเป็น (Essential) | ร้านเครื่องครัว, ร้าน 20 บาท, ร้านค้าออนไลน์ | ต้องทนร้อน 121°C ได้, ปากกว้างพอทำงาน, มีฝาปิดสนิท (คลายฝาตอนนึ่ง) |
อาหารผงสำเร็จรูป MS | ให้สารอาหาร วิตามิน แก่พืช | จำเป็น (Essential) | ร้านค้าออนไลน์ (Lazada/Shopee), ร้านเคมีเกษตร/วิทยาศาสตร์ | อ่านวิธีผสมและอัตราส่วนให้ถูกต้อง, เก็บในที่แห้งและเย็น |
หม้อนึ่งความดัน (Pressure Cooker) | ฆ่าเชื้ออาหารและอุปกรณ์ด้วยไอน้ำแรงดันสูง | แนะนำอย่างยิ่ง (Highly Recommended) | ร้านเครื่องครัว, ห้างสรรพสินค้า | ต้องถึง 121°C/15 psi, จับเวลา 15-20 นาที หลัง แรงดันถึง, รอแรงดันลดเองก่อนเปิด |
แอลกอฮอล์ 70% | เช็ดฆ่าเชื้อพื้นผิว, มือ (ใส่ถุงมือ), อุปกรณ์ภายนอก | จำเป็น (Essential) | ร้านขายยา, ซุปเปอร์มาร์เก็ต | ใช้สำหรับ Disinfection ไม่ใช่ Sterilization อาหาร/เครื่องมือภายใน, ระวังการติดไฟ |
ปากคีบยาว / ใบมีดคม | หยิบจับ ตัดแต่ง เนื้อเยื่อพืช | จำเป็น (Essential) | ร้านเครื่องเขียน, ร้านอุปกรณ์การแพทย์, ร้านค้าออนไลน์ | ต้องฆ่าเชื้อทุกครั้งก่อนใช้ (นึ่ง/ลนไฟ), เลือกสแตนเลส |
ตู้ปลอดเชื้อ DIY (Still Air Box) | สร้างพื้นที่ทำงานลดการปนเปื้อนจากอากาศ | แนะนำอย่างยิ่ง (Highly Recommended) | DIY จากกล่องพลาสติกใส หรือซื้อสำเร็จรูปออนไลน์ | ทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ก่อนใช้, ทำงานอย่างนุ่มนวล, ไม่ใช่ระบบกรองอากาศ |
น้ำกลั่น (Distilled Water) | ผสมอาหาร, ล้างเนื้อเยื่อพืช | จำเป็น (Essential) | ร้านขายยา, ร้านเคมีภัณฑ์ | ใช้น้ำกลั่นเท่านั้น ไม่ใช่น้ำประปาหรือน้ำดื่ม |
น้ำยาฟอกขาว (Bleach) | ฟอกฆ่าเชื้อผิวพืช (Explant) | จำเป็น (Essential) | ซุปเปอร์มาร์เก็ต, ร้านค้าทั่วไป | ใช้เจือจางตามความเหมาะสม (เช่น 10%), ล้างออกให้หมดจด, ระวังอันตรายต่อผิวหนัง/ดวงตา |
น้ำตาลทรายขาว | แหล่งพลังงานในอาหารเลี้ยงเชื้อ | จำเป็น (Essential) | ร้านค้าทั่วไป | เลือกชนิดขาวสะอาด |
ผงวุ้น (Agar) | ทำให้สารอาหารแข็งตัวเป็นวุ้น | จำเป็น (Essential) | ร้านวัตถุดิบเบเกอรี่, ร้านเคมี/ออนไลน์ | ใช้ตามอัตราส่วนที่แนะนำ, ต้มจนละลายใส |
ถุงมือ / หน้ากากอนามัย | ป้องกันการปนเปื้อนจากผู้ปฏิบัติงาน | จำเป็น (Essential) | ร้านขายยา, ร้านค้าทั่วไป | ใช้แบบครั้งเดียวทิ้ง |
กระดาษวัด pH / เครื่องวัด pH | วัดและปรับค่า pH อาหาร | ทางเลือก (Optional - for beginners) | ร้านอุปกรณ์วิทยาศาสตร์, ร้านค้าออนไลน์ | pH ที่เหมาะสมคือ 5.6-5.8, การปรับต้องใช้กรด/ด่างเจือจาง |
PPM (Plant Preservative Mixture) | สารช่วยยับยั้งการปนเปื้อนในอาหาร | ทางเลือก (Optional) | ร้านค้าออนไลน์เฉพาะทาง, ผู้จำหน่ายต่างประเทศ | มีราคาแพง, อาจมีผลต่อพืชบางชนิด, ใช้เมื่อจำเป็นหรือเจอปัญหาปนเปื้อนบ่อย |
4. เริ่มปฏิบัติการ ขั้นตอนง่ายๆ ทีละสเต็ป
เมื่อเตรียมอุปกรณ์ครบแล้ว ก็ถึงเวลาลงมือปฏิบัติจริงกันครับ ขั้นตอนนี้ต้องเน้นความสะอาดและความระมัดระวังเป็นพิเศษ
4.1 การเตรียมอาหารเลี้ยงเชื้อ (Preparing the Growth Medium): (สมมติว่าใช้อาหารผงสำเร็จรูป MS และเตรียมอาหาร 1 ลิตร)
ชั่งตวง: ชั่งผงอาหาร MS ตามปริมาณที่ระบุข้างบรรจุภัณฑ์สำหรับ 1 ลิตร (โดยทั่วไปประมาณ 4.4 กรัม แต่ควรตรวจสอบฉลากเสมอ). ชั่งน้ำตาลทรายขาวประมาณ 30 กรัม. ชั่งผงวุ้น (Agar) ประมาณ 6-8 กรัม (หรือตามคำแนะนำของวุ้นยี่ห้อนั้นๆ).
ละลาย: ตวงน้ำกลั่นประมาณ 800-900 มิลลิลิตร ใส่ในภาชนะทนร้อน (เช่น บีกเกอร์ หรือหม้อสแตนเลส). ค่อยๆ เทผง MS ลงไป คนให้ละลายจนหมด. จากนั้นเติมน้ำตาลทรายขาว คนจนละลายหมดเช่นกัน.
ปรับ pH (ถ้าทำได้): หากมีกระดาษวัด pH หรือเครื่องวัด ให้จุ่มลงในสารละลาย อ่านค่า pH. ค่าที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 5.6 - 5.8. หากค่าสูงไป (เป็นด่าง) ให้ค่อยๆ หยดกรดอ่อนๆ (เช่น น้ำส้มสายชูที่เจือจางมากๆ หรือกรดไฮโดรคลอริกเจือจาง - หากมีและใช้เป็น) ทีละหยด คนแล้ววัดใหม่. หากค่าต่ำไป (เป็นกรด) ให้ค่อยๆ เติมด่างอ่อนๆ (เช่น เบกกิ้งโซดาที่ละลายน้ำแล้ว หรือ โซเดียม/โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์เจือจาง - หากมีและใช้เป็น) ทีละน้อย คนแล้ววัดใหม่ ทำซ้ำจนได้ค่า pH ที่ต้องการ. ขั้นตอนนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน หากไม่มีอุปกรณ์วัด อาจข้ามไปก่อนสำหรับครั้งแรก แต่ผลลัพธ์อาจไม่ดีเท่าที่ควร.
ปรับปริมาตร: เติมน้ำกลั่นเพิ่มจนได้ปริมาตรครบ 1 ลิตรพอดี คนให้เข้ากัน.
เติมวุ้น: ค่อยๆ โรยผงวุ้นลงในสารละลาย คนให้กระจายตัว.
ต้มวุ้น: นำภาชนะไปตั้งไฟอ่อนๆ หรือเข้าไมโครเวฟเป็นช่วงสั้นๆ คนเป็นระยะ จนกระทั่งส่วนผสมเดือดเบาๆ และผงวุ้นละลายหมด สังเกตว่าสารละลายจะใสขึ้น ไม่มีเม็ดวุ้นขุ่นๆ เหลืออยู่. ต้องระวังอย่าให้เดือดรุนแรงจนล้นออกมา.
เทใส่ภาชนะ: รีบเทอาหารที่ยังร้อนจัดใส่ขวดหรือภาชนะเพาะเลี้ยงที่เตรียมไว้ (ซึ่งควรล้างสะอาดและอาจเช็ดด้วยแอลกอฮอล์รอไว้) เทให้ได้ความสูงประมาณ 1-2 เซนติเมตร หรือ 1/4 - 1/3 ของความสูงภาชนะ. ขั้นตอนนี้สำคัญมาก: ต้องเทอย่างระมัดระวังที่สุด ไม่ให้อาหารหกเลอะเปื้อนบริเวณปากขวดหรือขอบภาชนะ เพราะคราบอาหารที่แห้งติดอยู่จะเป็นแหล่งสะสมและทางเข้าของเชื้อโรคได้ง่ายมาก หากเลอะ ควรเช็ดออกทันทีด้วยทิชชูสะอาด หรือเปลี่ยนภาชนะใหม่.
ปิดฝา: ปิดฝาภาชนะทันที หากเป็นฝาเกลียวให้ปิดหลวมๆ ก่อนนำไปนึ่ง หากเป็นฝาเรียบอาจวางไว้เฉยๆ หรือใช้จุกสำลีที่สะอาดอุดปากขวดแล้วหุ้มทับด้วยฟอยล์อลูมิเนียม.
4.2 การฆ่าเชื้ออาหารและอุปกรณ์ (Sterilizing Media and Equipment):
เตรียมหม้อนึ่ง: ใส่น้ำสะอาดที่ก้นหม้อนึ่งความดันตามระดับที่คู่มือกำหนด วางตะแกรงรองก้นหม้อ.
จัดวาง: นำขวด/ภาชนะที่บรรจุอาหารแล้ววางลงบนตะแกรง. หากมีเครื่องมือ เช่น ปากคีบ ใบมีด ที่ต้องการฆ่าเชื้อพร้อมกัน ให้ห่อด้วยฟอยล์อลูมิเนียมแยกชิ้น แล้ววางลงไปด้วย. จัดเรียงไม่ให้แน่นเกินไป เพื่อให้ไอน้ำสามารถไหลเวียนได้อย่างทั่วถึง. ปิดฝาหม้อนึ่งความดันให้สนิทตามระบบล็อคของหม้อ.
ให้ความร้อนและสร้างแรงดัน: เปิดไฟแรง (หรือตามคำแนะนำของหม้อ) รอจนไอน้ำเริ่มพุ่งออกจากวาล์วปล่อยไอน้ำ หรือตัวบ่งชี้แรงดันแสดงว่าถึงระดับ 15 psi (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) หรือประมาณ 1 บาร์ เหนือความดันบรรยากาศ.
จับเวลาฆ่าเชื้อ: เมื่อแรงดันคงที่ที่ 15 psi แล้ว ให้เริ่มจับเวลา 15-20 นาที. ควรรักษาแรงดันให้คงที่ตลอดช่วงเวลานี้ อาจต้องปรับลดความร้อนลงเล็กน้อย.
ลดความดัน: เมื่อครบเวลา ให้ปิดไฟทันที แล้วปล่อยให้หม้อเย็นลงและแรงดันลดลงสู่ระดับปกติ ด้วยตัวเอง ห้าม รีบเปิดฝาหม้อ หรือใช้น้ำราดเพื่อลดความดันอย่างรวดเร็ว เพราะการเปลี่ยนแปลงความดันและอุณหภูมิอย่างรวดเร็วอาจทำให้อาหารที่ยังร้อนจัดในขวดเดือดพล่านทะลักออกมาปนเปื้อนปากขวด หรือทำให้ขวดแก้วแตกได้.
นำออกและทำให้เย็น: เมื่อเข็มวัดแรงดันตกมาที่ 0 หรือไม่มีไอน้ำพุ่งออกมาแล้ว ให้ค่อยๆ เปิดฝาหม้อด้วยความระมัดระวัง (ไอน้ำยังร้อนจัด). ใช้ถุงมือกันความร้อนหรือที่คีบ หยิบขวดอาหารและห่ออุปกรณ์ออกมาวางพักบนพื้นที่สะอาด (เช่น ภายในตู้ปลอดเชื้อ DIY ที่เช็ดแอลกอฮอล์รอไว้) ปล่อยให้เย็นลงจนถึงอุณหภูมิห้อง. เมื่อเย็นแล้ว ให้ปิดฝาขวดให้แน่นขึ้น (ถ้าเป็นฝาเกลียว) หรือปิดฝาให้สนิท. อาหารวุ้นจะค่อยๆ แข็งตัวเมื่อเย็นลง.
4.3 การเตรียมชิ้นส่วนพืช (Preparing Your Plant Explant): ขั้นตอนนี้คือการนำชิ้นส่วนพืชที่เราเลือกมาทำความสะอาดและฟอกฆ่าเชื้อบนผิวภายนอก
เลือกชิ้นส่วน: เลือกส่วนของพืชต้นแม่ที่ดูแข็งแรง สดใหม่ ปราศจากร่องรอยของโรคหรือแมลง. สำหรับมือใหม่ ควรเลือกส่วนที่ค่อนข้างสะอาดและจัดการง่าย เช่น:
ใบ: โดยเฉพาะใบอ่อนที่สมบูรณ์เต็มที่แต่ยังไม่แก่จัด เช่น ใบแอฟริกันไวโอเล็ต.
ข้อ (Node): คือส่วนของลำต้นที่มีตา ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นยอดใหม่ได้ง่าย.
เมล็ด: เมล็ดที่มีเปลือกแข็งมักจะทนทานต่อการฟอกฆ่าเชื้อได้ดี และมีโอกาสปนเปื้อนภายในน้อยกว่า.
ล้างเบื้องต้น: นำชิ้นส่วนพืชที่เลือกมาล้างด้วยน้ำประปาไหลผ่าน อาจใช้แปรงขนนุ่มๆ หรือนิ้วถูเบาๆ เพื่อกำจัดฝุ่น ดิน หรือสิ่งสกปรกที่มองเห็นได้ออกไป อาจล้างด้วยน้ำผสมสบู่อ่อนๆ หรือน้ำยาล้างจานเล็กน้อย แล้วล้างตามด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้งจนหมดฟอง.
ฟอกฆ่าเชื้อผิว (Surface Sterilization): ขั้นตอนนี้ต้องทำในที่สะอาดที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือทำภายในตู้ปลอดเชื้อ DIY.
(แนะนำ) จุ่มแอลกอฮอล์: นำชิ้นส่วนพืชที่ล้างสะอาดแล้ว จุ่มลงในแอลกอฮอล์ 70% (หรืออาจใช้ 95% ตามบางตำรา ) เป็นเวลาสั้นๆ ประมาณ 20-60 วินาที เพื่อช่วยลดแรงตึงผิวและฆ่าเชื้อเบื้องต้น จากนั้นรีบนำขึ้น.
แช่น้ำยาฟอกขาว: เตรียมสารละลายน้ำยาฟอกขาวเจือจาง โดยผสมน้ำยาฟอกขาวสำหรับซักผ้า (ที่มีโซเดียมไฮโปคลอไรต์เป็นส่วนประกอบหลัก) กับน้ำกลั่นที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว ในอัตราส่วนประมาณ 1:9 (น้ำยาฟอกขาว 1 ส่วน ต่อน้ำกลั่น 9 ส่วน) ซึ่งจะได้ความเข้มข้นประมาณ 0.5-0.6% โซเดียมไฮโปคลอไรต์. อาจเติมสารลดแรงตึงผิว (Wetting agent) เช่น น้ำยาล้างจาน หรือ Tween 20 เพียง 1-2 หยด เพื่อช่วยให้น้ำยาฟอกขาวสัมผัสผิวพืชได้ดีขึ้น. นำชิ้นส่วนพืชลงแช่ในสารละลายนี้ให้ท่วม ปิดฝาภาชนะ เขย่าเบาๆ เป็นครั้งคราว ระยะเวลาในการแช่จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดและความหนาของเนื้อเยื่อพืช โดยทั่วไปอาจใช้เวลา 10-20 นาที. ควรเริ่มต้นด้วยเวลาน้อยๆ ก่อน หากพบว่ายังปนเปื้อนค่อยเพิ่มเวลาในการแช่ครั้งต่อไป.
ล้างน้ำกลั่นฆ่าเชื้อ: เมื่อครบกำหนดเวลา ใช้ปากคีบที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว คีบชิ้นส่วนพืชออกมาอย่างรวดเร็ว และนำไปล้างในน้ำกลั่นที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว (เตรียมไว้ในภาชนะที่ฆ่าเชื้อแล้วหลายๆ ใบ) ล้างซ้ำๆ ประมาณ 3-5 ครั้ง ครั้งละ 1-2 นาที เพื่อกำจัดน้ำยาฟอกขาวที่ตกค้างออกให้หมด เพราะสารฟอกขาวเป็นพิษต่อเนื้อเยื่อพืช.
4.4 ขั้นตอนสำคัญ: การย้ายเนื้อเยื่อ (The Critical Transfer: Inoculation): นี่คือขั้นตอนที่ต้องปลอดเชื้อมากที่สุด เพราะเป็นการนำเนื้อเยื่อพืชที่สะอาดแล้วลงสู่อาหารเลี้ยงเชื้อ
เตรียมพื้นที่ทำงานปลอดเชื้อ: ทำความสะอาดภายในตู้ปลอดเชื้อ DIY ด้วยการฉีดพ่นหรือเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ 70% ให้ทั่ว ทิ้งไว้สักครู่ให้แอลกอฮอล์ทำงานและระเหย. นำเฉพาะอุปกรณ์ที่จำเป็นและผ่านการฆ่าเชื้อแล้วเข้าไปวางข้างใน ได้แก่ ขวดอาหารที่เย็นสนิทแล้ว, ภาชนะ (เช่น จานเพาะเชื้อ หรือแผ่นกระเบื้องสะอาด) ที่เช็ดแอลกอฮอล์แล้วสำหรับใช้เป็นที่วางพักและตัดแต่งเนื้อเยื่อ, ปากคีบและใบมีดที่ฆ่าเชื้อแล้ว, ตะเกียงแอลกอฮอล์ (ถ้าใช้), และชิ้นส่วนพืชที่ฟอกฆ่าเชื้อและล้างน้ำกลั่นเสร็จแล้ว (อาจใส่ในบีกเกอร์หรือจานที่มีน้ำกลั่นฆ่าเชื้อหล่ออยู่เล็กน้อย).
เตรียมตัวผู้ปฏิบัติงาน: ล้างมือให้สะอาด สวมถุงมือยางและหน้ากากอนามัย ฉีดพ่นหรือเช็ดถุงมือด้วยแอลกอฮอล์ 70%.
ทำงานในตู้: สอดแขนทั้งสองข้างเข้าไปในช่องของตู้ปลอดเชื้อ ทำงานด้วยความนิ่งและนุ่มนวล พยายามไม่ให้เกิดการเคลื่อนไหวของอากาศภายในตู้มากนัก หลีกเลี่ยงการพูด ไอ หรือจามขณะทำงาน.
ฆ่าเชื้อเครื่องมือซ้ำ: ก่อนสัมผัสเนื้อเยื่อ ควรฆ่าเชื้อปลายปากคีบและใบมีดอีกครั้ง โดยจุ่มในแอลกอฮอล์ 70% แล้วลนไฟจากตะเกียงแอลกอฮอล์ อย่างระมัดระวัง (ถือให้ปลายเครื่องมือชี้ลง เปลวไฟจะเผาแอลกอฮอล์ที่ติดอยู่ออกไป) รอให้เปลวไฟดับและเครื่องมือเย็นลงเล็กน้อย (ทดสอบโดยแตะกับอาหารวุ้นที่ขอบๆ). หากไม่สะดวกใช้ไฟ อาจใช้วิธีจุ่มแอลกอฮอล์แล้วเช็ดด้วยผ้าก๊อซหรือทิชชูที่ฆ่าเชื้อแล้ว หรือใช้เครื่องมือหลายๆ อันที่ผ่านการนึ่งมาแล้วสลับกันใช้.
ตัดแต่งและวางเนื้อเยื่อ: ใช้ปากคีบคีบชิ้นส่วนพืชที่ฟอกฆ่าเชื้อแล้ววางลงบนจานรองตัดที่สะอาด. ใช้ใบมีดที่ฆ่าเชื้อแล้ว ตัดส่วนขอบๆ ที่อาจเสียหายหรือไหม้จากการฟอกฆ่าเชื้อทิ้งไป. ตัดแบ่งเนื้อเยื่อส่วนที่สมบูรณ์ออกเป็นชิ้นขนาดพอเหมาะ (เช่น ขนาดประมาณ 0.5 - 1 ตารางเซนติเมตร สำหรับใบ หรือ ข้อที่มีตา 1 ข้อ). เปิดฝาขวดอาหารออก (เปิดให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น และเปิดในแนวนอนหรือคว่ำฝาลงบนพื้นที่สะอาด เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นตกลงไป). ใช้ปากคีบคีบชิ้นเนื้อเยื่อที่ตัดแต่งแล้วอย่างเบามือ นำไปวางลงบนผิวอาหารวุ้นในขวด กดเบาๆ ให้ผิวเนื้อเยื่อสัมผัสกับอาหาร แต่ระวังอย่าให้จมลงไปในวุ้น. อาจวาง 1-3 ชิ้นต่อขวด ขึ้นอยู่กับขนาด.
ปิดฝาและซีล: รีบปิดฝาขวดอาหารให้สนิททันที. เพื่อเพิ่มการป้องกันการปนเปื้อน อาจใช้พาราฟิล์ม (Parafilm) หรือเทปใสพันรอบบริเวณฝาและปากขวดอีกชั้นหนึ่ง.
ทำซ้ำและทำความสะอาด: ทำซ้ำขั้นตอนการตัดแต่งและวางเนื้อเยื่อจนหมด หรือได้จำนวนขวดที่ต้องการ. เมื่อเสร็จสิ้นการทำงาน ให้นำอุปกรณ์ทุกอย่างออกจากตู้ปลอดเชื้อ แล้วทำความสะอาดตู้และเครื่องมือต่างๆ ให้เรียบร้อย.
การรักษาสมดุลในการฆ่าเชื้อ: ขั้นตอนนี้มีความละเอียดอ่อน เพราะสารเคมีที่รุนแรงอย่างน้ำยาฟอกขาว หรือความร้อนสูงจากการนึ่ง ซึ่งจำเป็นต่อการกำจัดเชื้อโรค ก็สามารถทำอันตรายหรือฆ่าเนื้อเยื่อพืชที่บอบบางได้เช่นกัน. มันคือการหาสมดุลที่พอดีระหว่างการฆ่าเชื้อให้ตายหมดกับการรักษาเนื้อเยื่อพืชให้รอดชีวิต. การใช้สารเคมีความเข้มข้นสูงหรือแช่นานเกินไปอาจทำให้เนื้อเยื่อไหม้หรือตาย แต่ถ้าอ่อนไปหรือสั้นไป เชื้อโรคก็จะหลงเหลือและทำให้เกิดการปนเปื้อน. สำหรับมือใหม่ การหาจุดสมดุลนี้อาจต้องอาศัยการทดลองและยอมรับความล้มเหลวในครั้งแรกๆ (ไม่ว่าจะเกิดจากการปนเปื้อน หรือเนื้อเยื่อตาย). การเริ่มต้นด้วยสูตรและเวลาที่แนะนำสำหรับพืชที่ทำง่าย เช่น แอฟริกันไวโอเล็ต เป็นทางที่ดีที่สุด แต่ก็อาจต้องปรับเปลี่ยนบ้างตามผลที่สังเกตได้. เทคนิคที่ผู้มีประสบการณ์แนะนำคือการลองใช้ความเข้มข้นของสารฟอกขาวที่ต่ำลง แต่เพิ่มระยะเวลาในการแช่ให้นานขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อพืชได้บ้าง.
4.5 การบ่มเพาะ: รอคอยการเติบโต (Incubation): หลังจากย้ายเนื้อเยื่อลงอาหารแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการนำไปบ่มเพาะในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ติดฉลาก: เขียนข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อพืช, ชนิดของชิ้นส่วนที่ใช้ (ใบ/ข้อ/เมล็ด), และวันที่ทำการย้ายเนื้อเยื่อ ลงบนขวดหรือภาชนะแต่ละใบให้ชัดเจน.
หาสถานที่วาง: เลือกมุมในบ้านที่ค่อนข้างสะอาด อากาศถ่ายเทไม่แรงจนเกินไป (เพื่อลดฝุ่น) และสามารถควบคุมอุณหภูมิและแสงได้ระดับหนึ่ง ไม่ควรวางใกล้หน้าต่างที่แดดส่องถึงโดยตรง หรือใกล้ช่องแอร์ที่ลมเป่าแรง.
อุณหภูมิ: โดยทั่วไป อุณหภูมิห้องปกติของประเทศไทย (ประมาณ 25-28 องศาเซลเซียส) ก็มักจะเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อพืชเขตร้อนส่วนใหญ่. พยายามรักษาอุณหภูมิให้ค่อนข้างคงที่ หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว.
แสง: เนื้อเยื่อพืชต้องการแสงเพื่อการสังเคราะห์แสงและการเจริญเติบโต แต่ไม่ต้องการแสงแดดจัดโดยตรง. แสงสว่างจากหน้าต่างที่ไม่โดนแดดโดยตรง (แสงรำไร) หรือแสงจากหลอดไฟ เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ หรือหลอด LED (อาจใช้หลอดไฟสำหรับปลูกต้นไม้ หรือหลอดไฟบ้านทั่วไปก็ได้) โดยให้แสงประมาณวันละ 12-16 ชั่วโมง ก็เพียงพอแล้ว. อาจใช้ชั้นวางของธรรมดาติดหลอดไฟก็ได้.
การดูแลและสังเกตการณ์: ขั้นตอนนี้คือการ "รอ" แต่ต้องรออย่างใส่ใจ. ควรหมั่นตรวจดูขวดเพาะเลี้ยงทุกวัน สังเกตการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อพืช เช่น การขยายขนาด, การเปลี่ยนสี, การเริ่มแตกยอดหรือราก. และที่สำคัญที่สุดคือ การตรวจหาการปนเปื้อน. สังเกตหาสิ่งผิดปกติ เช่น:
เชื้อรา: มักเห็นเป็นเส้นใยฟูๆ สีขาว เขียว เทา หรือดำ เจริญบนผิวอาหารหรือบนเนื้อเยื่อพืช.
แบคทีเรีย: มักทำให้อาหารขุ่นเป็นเมือก หรือมีลักษณะเป็นวุ้นเหลวๆ รอบๆ ชิ้นเนื้อเยื่อ อาจมีสีขาวขุ่น เหลือง หรือสีอื่นๆ.
ระยะเวลา: การเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อพืชใช้เวลาแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับชนิดของพืช, ชิ้นส่วนที่ใช้, สูตรอาหาร, และสภาพแวดล้อม. บางชนิดอาจเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 1-2 สัปดาห์ บางชนิดอาจใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะเริ่มแตกยอดหรือราก. ความอดทน คือสิ่งสำคัญที่สุดในขั้นตอนนี้.
5. ข้อควรระวังและเคล็ดลับสู่ความสำเร็จ
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชที่บ้านอาจมีอุปสรรคบ้าง แต่ถ้าเราเข้าใจปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและรู้วิธีป้องกัน ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จได้มากครับ
ย้ำ! ย้ำ! ย้ำ! เรื่องความสะอาด: ขอย้ำอีกครั้งว่านี่คือปัจจัยสำคัญที่สุด. ต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดในทุกขั้นตอนอย่างแท้จริง:
พื้นผิวทำงาน: เช็ดโต๊ะ ตู้ปลอดเชื้อ หรือบริเวณที่จะทำงานด้วยแอลกอฮอล์ 70% ทั้งก่อนและหลังการใช้งานเสมอ.
มือ: ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ก่อนเริ่มงาน และสวมถุงมือยางที่สะอาด เช็ดถุงมือด้วยแอลกอฮอล์ 70% บ่อยๆ ระหว่างทำงาน.
อากาศ: ทำงานในตู้ปลอดเชื้อ DIY หรือบริเวณที่ลมสงบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลีกเลี่ยงการพูดคุย ไอ หรือจาม เหนือภาชนะเพาะเลี้ยงที่เปิดอยู่.
การสัมผัส: ห้ามใช้นิ้วมือเปล่าสัมผัสเนื้อเยื่อพืช อาหารเลี้ยงเชื้อ หรือส่วนด้านในของภาชนะและเครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วเด็ดขาด.
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและการป้องกัน:
การฆ่าเชื้ออาหาร/อุปกรณ์ไม่สมบูรณ์: อาจเกิดจากการใช้เวลาหรือแรงดันในหม้อนึ่งความดันไม่ถูกต้อง หรือจัดเรียงของในหม้อแน่นเกินไป ทำให้ไอน้ำเข้าไม่ถึง. ป้องกัน: ปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้หม้อนึ่งความดันอย่างเคร่งครัด (121°C, 15 psi, 15-20 นาที).
การฟอกฆ่าเชื้อผิวพืชไม่ได้ผล: เชื้อโรคที่ติดมากับผิวพืชยังหลงเหลืออยู่ ทำให้เกิดการปนเปื้อน. ป้องกัน: เลือกใช้น้ำยาฟอกขาวที่ยังใหม่ (ประสิทธิภาพจะลดลงตามอายุ) ปรับความเข้มข้นและระยะเวลาแช่ให้เหมาะสมกับชนิดพืช (อาจต้องทดลอง) และล้างน้ำกลั่นฆ่าเชื้อให้สะอาดหมดจด.
การฟอกฆ่าเชื้อผิวพืชรุนแรงเกินไป: ทำให้เนื้อเยื่อพืชเสียหาย ไหม้ หรือตาย. ป้องกัน: ลดความเข้มข้นของน้ำยาฟอกขาว หรือลดระยะเวลาในการแช่ลง ลองเปรียบเทียบผล.
การปนเปื้อนระหว่างการย้ายเนื้อเยื่อ: เป็นขั้นตอนที่เสี่ยงที่สุด เกิดจากเชื้อในอากาศ, เครื่องมือไม่สะอาดพอ, หรือการสัมผัสโดยไม่ตั้งใจ. ป้องกัน: ทำงานในตู้ปลอดเชื้ออย่างระมัดระวังและรวดเร็ว, ฆ่าเชื้อเครื่องมือ (ปากคีบ, ใบมีด) ซ้ำบ่อยๆ ด้วยการลนไฟหรือจุ่มแอลกอฮอล์, เปิดฝาขวดอาหารให้น้อยที่สุดและเร็วที่สุด.
อาหารเลี้ยงเชื้อหกเลอะปากขวด: เป็นสะพานให้เชื้อโรคจากภายนอกคลานเข้าไปในขวดได้ง่าย. ป้องกัน: เทอาหารอย่างระมัดระวัง หากเลอะให้เช็ดออกทันที หรือเปลี่ยนขวด. หลังนึ่งฆ่าเชื้อและขวดเย็นลงแล้ว อาจใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดรอบปากขวดด้านนอกอีกครั้งก่อนนำไปใช้งาน.
ความอดทนคือกุญแจสำคัญ: การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้องใช้เวลา บางครั้งอาจนานหลายเดือนกว่าจะเห็นผล อย่าเพิ่งหมดกำลังใจหากการทดลองครั้งแรกๆ ล้มเหลว หรือพืชเติบโตช้า. ให้ถือว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ สังเกตว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น และพยายามแก้ไขในครั้งต่อไป.
วิธีจัดการเมื่อเกิดการปนเปื้อน:
แยกออกทันที: หากสังเกตเห็นขวดใดมีลักษณะของการปนเปื้อน (ราขึ้น, อาหารขุ่น) ให้รีบนำขวดนั้นออกจากบริเวณที่วางขวดอื่นๆ ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้สปอร์หรือเชื้อแพร่กระจายไปยังขวดอื่น.
กำจัดอย่างถูกวิธี: ห้ามเปิดฝาขวดที่ปนเปื้อนในบริเวณทำงานหรือในบ้านเด็ดขาด เพราะจะเป็นการแพร่สปอร์เชื้อโรค. วิธีที่ดีที่สุดคือ นำขวดที่ปนเปื้อนนั้นไปนึ่งฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งความดันอีกครั้ง (ที่ 121°C, 15 psi, 20-30 นาที) เพื่อฆ่าเชื้อโรคให้ตายทั้งหมดก่อนนำไปเททิ้งและล้างขวด. หากไม่สะดวกนึ่ง อาจใส่ขวดลงในถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น แล้วนำไปทิ้งในถังขยะติดเชื้อ (ถ้ามี) หรือทิ้งรวมกับขยะทั่วไปโดยระมัดระวัง
6. พืชแนะนำสำหรับมือใหม่หัดเพาะ
การเลือกชนิดพืชที่เหมาะสมเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับมือใหม่ ควรเลือกพืชที่ค่อนข้างแข็งแรง ทนทานต่อกระบวนการฟอกฆ่าเชื้อได้ดี ตอบสนองต่ออาหารสูตรพื้นฐาน (เช่น MS) และมีข้อมูลหรือตัวอย่างความสำเร็จจากผู้ที่เคยทำมาก่อน
ตัวเลือกยอดนิยมที่แนะนำ
แอฟริกันไวโอเล็ต (African Violet - Saintpaulia ionantha): ถือเป็น "ราชา" ของพืชสำหรับมือใหม่หัดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเลยก็ว่าได้. นิยมใช้ส่วนใบในการเพาะเลี้ยง ซึ่งหาง่าย จัดการง่าย ฟอกฆ่าเชื้อง่าย และมักจะตอบสนองต่ออาหารสูตร MS พื้นฐานได้ดี เกิดแคลลัสและแตกต้นใหม่ได้ค่อนข้างเร็ว ทำให้เห็นผลและมีกำลังใจ.
กล้วยไม้ (Orchids): เป็นกลุ่มพืชแรกๆ ที่มีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกันอย่างแพร่หลาย ทำให้มีข้อมูลและสูตรอาหารสำเร็จรูปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ในสภาพปลอดเชื้อ หรือการเลี้ยงจากตา หน่อ หรือชิ้นส่วนต่างๆ. การเพาะเมล็ดอาจง่ายกว่าการเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนอื่นสำหรับบางชนิด.
เมล็ดพืชบางชนิด: การเพาะเมล็ดในสภาพปลอดเชื้อ (In vitro germination) มักจะง่ายกว่าการเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนอื่น เพราะเมล็ดมักทนทานต่อการฟอกฆ่าเชื้อได้ดีกว่า และมีโอกาสปนเปื้อนภายในน้อย. ตัวอย่างเช่น เมล็ดพืชกินแมลงอย่าง กาบหอยแครง (Venus Flytrap - VFT), หยาดน้ำค้าง (Sundew), หรือหม้อข้าวหม้อแกงลิง (Nepenthes). รวมถึงเมล็ดพืชผักบางชนิด เช่น มะเขือเทศ.
พืชวงศ์ Solanaceae (วงศ์มะเขือ): เช่น ยาสูบ, มันฝรั่ง, มะเขือเทศ เป็นกลุ่มที่มีงานวิจัยรองรับจำนวนมาก ทำให้หาสูตรอาหารและวิธีการได้ง่าย และมักจะสามารถชักนำให้เกิดยอดและรากได้โดยไม่ต้องใช้ฮอร์โมนพืชที่ซับซ้อนนัก.
พืชอวบน้ำ หรือ ไม้น้ำบางชนิด: บางชนิดอาจฟอกฆ่าเชื้อง่ายและเลี้ยงไม่ยากนัก แต่บางชนิดก็อาจต้องการสูตรอาหารหรือสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจง.
ส่วนของพืชที่แนะนำสำหรับเริ่มต้น: โดยทั่วไปแล้ว ใบ , ข้อที่มีตา , หรือ เมล็ด มักจะเป็นส่วนที่จัดการได้ง่ายและมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าสำหรับมือใหม่ เมื่อเทียบกับการใช้ราก หรือส่วนอื่นๆ ที่อาจฟอกฆ่าเชื้อง่าย หรือต้องการฮอร์โมนที่ซับซ้อนกว่า.
7. หาซื้อของได้ที่ไหน?
การหาแหล่งซื้ออุปกรณ์และสารเคมีเป็นอีกขั้นตอนสำคัญ ปัจจุบันมีทางเลือกหลากหลายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ในประเทศไทย
อาหารผงสำเร็จรูป (MS Powder), วุ้น (Agar), ฮอร์โมนพืช (PGRs):
ร้านค้าออนไลน์ (Online Marketplaces): แพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Lazada และ Shopee เป็นแหล่งที่สะดวกและมีตัวเลือกหลากหลายมากที่สุด ลองค้นหาด้วยคำว่า "อาหารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ MS", "MS medium", "ผงวุ้นเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ", "ฮอร์โมน BA", "ฮอร์โมน NAA" เป็นต้น จะพบร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล่านี้โดยเฉพาะ มีทั้งแบบผงสำหรับผสมเอง, แบบสารละลายเข้มข้น (Stock solution), แบบกึ่งสำเร็จรูป, หรือแม้แต่ฮอร์โมนที่แบ่งขายในปริมาณน้อยสำหรับทดลอง. ควรอ่านรายละเอียดสินค้า, รีวิวจากผู้ซื้อรายอื่น, และเปรียบเทียบราคา/คุณภาพก่อนตัดสินใจ.
ร้านเคมีภัณฑ์/อุปกรณ์วิทยาศาสตร์: ร้านค้าที่จำหน่ายสารเคมีและอุปกรณ์สำหรับห้องปฏิบัติการโดยตรง บางแห่งอาจมีอาหาร MS หรือสารเคมีที่จำเป็นจำหน่าย แต่ส่วนใหญ่มักขายในปริมาณมากและอาจไม่สะดวกสำหรับมือใหม่.
ผู้จำหน่าย/แล็บโดยตรง: บางแล็บเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออาจมีการแบ่งจำหน่ายอาหารหรือสารเคมี เช่น DR Lab ที่ชลบุรี หรือ KC LAB ที่มีสูตรอาหารของตัวเองจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์.
ผู้จำหน่ายต่างประเทศ: บริษัทอย่าง Plant Cell Technology (สหรัฐอเมริกา) หรือ InVitroGardenSupply (สหรัฐอเมริกา) มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย รวมถึง PPM และชุดคิท แต่ต้องพิจารณาเรื่องค่าขนส่ง, ภาษีนำเข้า, และข้อจำกัดในการนำเข้าสารเคมีหรือผลิตภัณฑ์ชีวภาพบางชนิดเข้าประเทศไทย.
ชุดคิทสำหรับเริ่มต้น (Starter Kits):
ในประเทศ: บางร้านค้าบน Lazada/Shopee อาจจัดชุดรวมอุปกรณ์พื้นฐานหรือสารเคมีเริ่มต้นจำหน่าย ลองค้นหา "ชุดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ".
ต่างประเทศ: Plant Cell Technology , Plants in Jars , InVitroGardenSupply มีชุด Starter Kit ที่รวมสารเคมีจำเป็น เช่น อาหาร MS, วุ้น, ฮอร์โมนพื้นฐาน, PPM มาให้ ซึ่งสะดวกสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ต้องตรวจสอบเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดและการนำเข้า.
อุปกรณ์อื่นๆ:
หม้อนึ่งความดัน, ขวดโหลแก้ว, กล่องพลาสติกใส: หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้า (แผนกเครื่องครัว, เครื่องใช้ในบ้าน), ร้านขายส่งเครื่องครัว, หรือร้านค้าออนไลน์ทั่วไป.
แอลกอฮอล์ 70%, น้ำยาฟอกขาว, น้ำตาลทราย, ถุงมือยาง, หน้ากากอนามัย: หาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยา, ซุปเปอร์มาร์เก็ต, หรือร้านสะดวกซื้อ.
น้ำกลั่น: ร้านขายยา หรือร้านขายอุปกรณ์การแพทย์.
ปากคีบยาว, ใบมีด/คัตเตอร์: ร้านเครื่องเขียน, ร้านอุปกรณ์การเรียน, ร้านอุปกรณ์การแพทย์, หรือร้านค้าออนไลน์.
ตู้ปลอดเชื้อสำเร็จรูป (แบบง่าย): มีขายใน Shopee, Lazada ราคาตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันบาท.
ข้อควรระวังในการซื้อ:
อ่านรายละเอียด: ตรวจสอบส่วนผสม, ปริมาณ, วันหมดอายุ (สำหรับสารเคมี), และคำแนะนำการใช้งานให้ละเอียด.
เช็ครีวิว: อ่านความคิดเห็นจากผู้ซื้อคนอื่นๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ.
เปรียบเทียบราคา: ราคาอาจแตกต่างกันในแต่ละร้านค้า.
การเก็บรักษา: เมื่อซื้อสารเคมีมาแล้ว ควรเก็บรักษาตามคำแนะนำบนฉลาก (เช่น เก็บในที่แห้ง, เย็น, หรือในตู้เย็น).
การสั่งซื้อจากต่างประเทศ: ต้องคำนึงถึงค่าขนส่ง, ระยะเวลาในการจัดส่ง, ภาษีนำเข้าที่อาจเกิดขึ้น, และกฎระเบียบเกี่ยวกับการนำเข้าสารเคมีหรือพืช (บางชนิดอาจถูกจำกัดหรือห้ามนำเข้า).
8. ก้าวแรกสู่โลกแห่งการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
การเดินทางเข้าสู่โลกของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชที่บ้านนั้น เป็นการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และความอดทน แม้จะมีความท้าทายรออยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการรักษาความสะอาดและสภาพปลอดเชื้ออย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สุด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝันสำหรับผู้ที่สนใจและตั้งใจจริง.
บทความนี้ได้ปูพื้นฐานให้เห็นภาพรวม ตั้งแต่หลักการเบื้องต้น, ความสำคัญอย่างยิ่งยวดของเทคนิคปลอดเชื้อ, อุปกรณ์พื้นฐานที่หาได้ไม่ยาก (รวมถึงทางเลือก DIY ที่ประหยัด), ขั้นตอนการปฏิบัติอย่างง่ายสำหรับมือใหม่, ข้อควรระวังและเคล็ดลับต่างๆ ไปจนถึงการเลือกพืชที่เหมาะสมและการหาแหล่งซื้อวัสดุอุปกรณ์.
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นเหมือนแผนที่นำทาง ช่วยให้คุณเริ่มต้นก้าวแรกได้อย่างมั่นใจมากขึ้น. แม้ว่าการทดลองครั้งแรกๆ อาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบ อาจเจอการปนเปื้อนบ้าง หรือเนื้อเยื่ออาจจะยังไม่เติบโตอย่างที่หวัง ขออย่าเพิ่งท้อถอย. ทุกความผิดพลาดคือบทเรียนอันมีค่าที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในครั้งต่อไป.
จำไว้ว่า ความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชที่บ้านนั้นอยู่ที่ ความใส่ใจในรายละเอียด, ความพิถีพิถันในการรักษาความสะอาด ในทุกๆ ขั้นตอน และ ความอดทน ที่จะรอคอยการเติบโตอย่างใจเย็น. ขอให้ทุกท่านสนุกกับการทดลอง "โคลนนิ่ง" พืชต้นโปรดด้วยฝีมือของคุณเองนะครับ!
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Comentarios