top of page

มือใหม่หัดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช เริ่มต้นง่ายๆ ได้ที่บ้าน


เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช

1.มหัศจรรย์การโคลนนิ่งพืชในขวดแก้ว


เคยตื่นเต้นเมื่อเห็นต้นไม้จิ๋วๆ เติบโตอย่างน่าอัศจรรย์ในขวดแก้วหรือภาชนะใสกันไหมครับ? นั่นคือผลลัพธ์ของเทคนิคที่เรียกว่า "การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช" (Plant Tissue Culture) ซึ่งเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้เราสามารถขยายพันธุ์พืชต้นโปรด หรือแม้แต่พืชหายาก ให้มีจำนวนมากขึ้นได้จากชิ้นส่วนเล็กๆ ของพืชต้นแม่เพียงต้นเดียว. แม้จะฟังดูเหมือนเป็นเรื่องในห้องปฏิบัติการขั้นสูง แต่ความจริงแล้ว ด้วยความเข้าใจในหลักการและเทคนิคพื้นฐาน มือใหม่อย่างเราๆ ก็สามารถเริ่มต้นทดลองทำที่บ้านได้ไม่ยากอย่างที่คิด.   


การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช คือ การนำเอาชิ้นส่วนเล็กๆ ของพืช ไม่ว่าจะเป็นเซลล์, เนื้อเยื่อ, หรืออวัยวะขนาดเล็ก (ที่เราเรียกว่า Explant) มาเพาะเลี้ยงบนอาหารสังเคราะห์ที่เตรียมขึ้นเป็นพิเศษ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ควบคุมและที่สำคัญที่สุดคือ "ปลอดเชื้อ" (Aseptic condition). หลักการสำคัญเบื้องหลังคือคุณสมบัติที่เรียกว่า "โททิโพเทนซี" (Totipotency) ของเซลล์พืช ซึ่งหมายความว่าเซลล์พืชแต่ละเซลล์ (ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม) มีศักยภาพที่จะพัฒนาและเจริญเติบโตไปเป็นต้นพืชที่สมบูรณ์ได้ทั้งต้น โดยมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ทุกประการ.   


แล้วทำไมเราถึงควรลองทำการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชที่บ้านล่ะ? ประโยชน์มีมากมายเลยครับ


  • ขยายพันธุ์พืชหายากหรือราคาแพง: สามารถเพิ่มจำนวนพืชที่เราต้องการได้มากมายจากต้นแม่เพียงต้นเดียวหรือชิ้นส่วนเล็กๆ.   

  • ได้ต้นพืชปลอดโรค: เนื่องจากกระบวนการทำในสภาพปลอดเชื้อ ต้นพืชที่ได้จึงมักจะสะอาด ปราศจากโรคและแมลงที่อาจติดมากับวิธีการขยายพันธุ์แบบอื่น.   

  • กิจกรรมท้าทายและเรียนรู้: เป็นงานอดิเรกที่ต้องใช้ความใส่ใจ ความประณีต ได้ฝึกทักษะ และได้เฝ้าดูการเติบโตของพืชอย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอน.   

  • ทำได้ทุกเวลา: ไม่ต้องรอฤดูกาลหรือสภาพอากาศที่เหมาะสมเหมือนการเพาะปลูกทั่วไป.   


ในบทความนี้ เราจะพาไปสำรวจภาพรวมของอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็น (ซึ่งหลายอย่างหาได้ในครัวเรือนหรือประดิษฐ์เองได้), ขั้นตอนง่ายๆ สำหรับการเริ่มต้น, เคล็ดลับและข้อควรระวังที่สำคัญ รวมถึงแนะนำชนิดพืชที่เหมาะสำหรับมือใหม่.

แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น มีคำเตือนสำคัญที่ต้องเน้นย้ำกันก่อน: หัวใจของความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชอยู่ที่ "ความสะอาด" และ "ความอดทน" อย่างแท้จริง. การรักษาทุกอย่างให้ปลอดเชื้อคือความท้าทายอันดับหนึ่ง หากละเลยเพียงเล็กน้อย การปนเปื้อนจากเชื้อจุลินทรีย์จะเข้ามาทำลายความพยายามของเราได้ง่ายๆ. เตรียมใจให้พร้อม แล้วมาเริ่มต้นการเดินทางอันน่าทึ่งนี้ไปด้วยกันครับ!   


2.กฎเหล็กข้อสำคัญ รู้จักกับเทคนิคปลอดเชื้อ


หากจะบอกว่ามีสิ่งใดสำคัญที่สุดในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช คำตอบนั้นคือ "การรักษาความสะอาดและสภาพปลอดเชื้อ" หรือที่เรียกว่า "เทคนิคปลอดเชื้อ" (Aseptic Technique) อย่างไม่ต้องสงสัย. ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? คำตอบง่ายๆ คือ อาหารสังเคราะห์ที่เราใช้เลี้ยงเนื้อเยื่อพืชนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการเติบโตของพืช ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล แร่ธาตุ วิตามินต่างๆ ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ก็เป็นแหล่งอาหารชั้นเลิศสำหรับเหล่าจุลินทรีย์ตัวจิ๋ว ทั้งแบคทีเรียและเชื้อรา ที่ล่องลอยอยู่ทั่วไปในอากาศ บนผิวหนัง บนมือของเรา หรือแม้กระทั่งบนอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยเช่นกัน. หากจุลินทรีย์เหล่านี้มีโอกาสปนเปื้อนลงไปในอาหารเลี้ยงเชื้อแม้เพียงเล็กน้อย พวกมันจะเจริญเติบโตและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว แย่งชิงสารอาหารจากเนื้อเยื่อพืช และในที่สุดก็จะเข้าทำลายเนื้อเยื่อพืชที่เราอุตส่าห์เลี้ยงดูมาจนหมดสิ้น. การปนเปื้อนเพียงเล็กน้อยสามารถทำลายความพยายามหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนได้ในพริบตา.   


แหล่งที่มาของการปนเปื้อน (Sources of Contamination) ที่เราต้องระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำในสภาพแวดล้อมที่บ้านซึ่งควบคุมความสะอาดยากกว่าห้องปฏิบัติการ มีดังนี้


  • อากาศ: เป็นแหล่งที่สำคัญที่สุด เพราะมีฝุ่นละออง สปอร์ของเชื้อรา และแบคทีเรียลอยปะปนอยู่มากมาย พร้อมจะตกลงสู่ภาชนะเพาะเลี้ยงที่เปิดอยู่ตลอดเวลา.   

  • อุปกรณ์และภาชนะ: ขวด ปากคีบ ใบมีด หรือภาชนะอื่นๆ หากล้างไม่สะอาด หรือผ่านการฆ่าเชื้อที่ไม่สมบูรณ์ ก็จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อได้.   

  • อาหารเลี้ยงเชื้อ: การเตรียมอาหารที่ไม่สะอาด หรือการฆ่าเชื้ออาหารที่ไม่ได้มาตรฐาน (เช่น ใช้ความร้อนหรือเวลาไม่เพียงพอ) จะทำให้มีเชื้อหลงเหลือและเจริญเติบโตในอาหารได้.   

  • ชิ้นส่วนพืช (Explant): ผิวของพืชที่นำมาเลี้ยงอาจมีเชื้อจุลินทรีย์เกาะติดอยู่ หรือในบางกรณี อาจมีเชื้อแฝงอยู่ภายในเนื้อเยื่อพืช (Endophytes/Epiphytes) ซึ่งกำจัดได้ยาก.   

  • ตัวผู้ปฏิบัติงาน: มือที่ไม่สะอาด ลมหายใจ เสื้อผ้า เส้นผม ล้วนเป็นแหล่งนำเชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่ระบบได้ทั้งสิ้น.   

  • แมลงหรือไร: สัตว์เล็กๆ เหล่านี้อาจเป็นพาหะนำสปอร์ของเชื้อราหรือแบคทีเรียเข้ามาปนเปื้อนในภาชนะเพาะเลี้ยงได้.   


ผลกระทบของการปนเปื้อน (Consequences of Contamination) นั้นร้ายแรงและน่าผิดหวัง

  • เนื้อเยื่อพืชตายหรือเสียหาย: เชื้อจุลินทรีย์จะแย่งสารอาหารและปล่อยสารพิษ ทำให้เนื้อเยื่อพืชอ่อนแอ หยุดการเจริญเติบโต หรือตายในที่สุด บางครั้งอาจทำให้เนื้อเยื่อเจริญผิดรูปผิดร่างไป.   

  • สูญเสียทรัพยากร: เสียทั้งเวลาที่ลงแรงไป เสียค่าอาหาร สารเคมี และค่าไฟฟ้าโดยเปล่าประโยชน์.   

  • การแพร่กระจาย: หากไม่รีบกำจัด ขวดที่ปนเปื้อนสามารถแพร่เชื้อไปยังขวดอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างได้.   

  • อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม: แม้จะไม่ใช่ปัญหาหลักในระดับเริ่มต้น แต่การปนเปื้อนรุนแรงในระยะยาวอาจส่งผลต่อความคงที่ทางพันธุกรรมของพืชได้.   


ดังนั้น หลักการสำคัญของเทคนิคปลอดเชื้อ คือ ชุดของวิธีการปฏิบัติที่ออกแบบมาเพื่อ "ป้องกัน" ไม่ให้จุลินทรีย์จากภายนอกเข้าสู่ระบบการเพาะเลี้ยงได้ในทุกขั้นตอน. ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ


  1. การฆ่าเชื้อ (Sterilization): คือการทำลายเชื้อจุลินทรีย์ ทั้งหมด รวมถึงสปอร์ที่ทนทาน บนอาหารเลี้ยงเชื้อ ภาชนะ และเครื่องมือที่จะสัมผัสกับเนื้อเยื่อพืชโดยตรง เช่น การใช้หม้อนึ่งความดัน.   

  2. การทำความสะอาด/ฆ่าเชื้อบนพื้นผิว (Disinfection): คือการลดจำนวนเชื้อจุลินทรีย์บนพื้นผิวทำงาน มือ (ที่สวมถุงมือ) หรืออุปกรณ์ที่ไม่สามารถนึ่งฆ่าเชื้อได้ เช่น การใช้แอลกอฮอล์ 70% เช็ด.   

  3. การทำงานในพื้นที่ควบคุม (Controlled Environment): คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ลดโอกาสที่เชื้อจากอากาศจะตกลงมาปนเปื้อนระหว่างการทำงาน เช่น การทำงานในตู้ปลอดเชื้อ.


ความท้าทายที่เพิ่มขึ้นของการปลอดเชื้อในบ้าน: ในห้องปฏิบัติการ chuyên nghiệp พวกเขามีเครื่องมือราคาแพงและเฉพาะทาง เช่น หม้อนึ่งความดันไอน้ำขนาดใหญ่ (Autoclave) และตู้ปลอดเชื้อแบบเป่าลมกรองอากาศ (Laminar Flow Hood) ซึ่งออกแบบมาเพื่อการฆ่าเชื้อและกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสูงสุด. แต่สำหรับการเริ่มต้นที่บ้าน เรามักจะไม่มีเครื่องมือเหล่านี้. เราอาจใช้หม้อนึ่งความดันสำหรับทำอาหาร หรือตู้พลาสติก DIY แทน ซึ่งแม้จะช่วยได้มาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อหรือป้องกันเชื้อในอากาศอาจไม่เทียบเท่าเครื่องมือในห้องแล็บ. การขาดเครื่องมือเฉพาะทางเหล่านี้หมายความว่า ความเสี่ยงที่จะเกิดการปนเปื้อนจากอากาศหรือการฆ่าเชื้อที่ไม่สมบูรณ์นั้นสูงกว่าในห้องแล็บอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้. ดังนั้น การปฏิบัติตามเทคนิคปลอดเชื้อในด้านอื่นๆ อย่างเคร่งครัด เช่น สุขอนามัยส่วนบุคคล (ล้างมือ สวมถุงมือ หน้ากาก), การเช็ดพื้นผิวด้วยแอลกอฮอล์บ่อยๆ, การทำงานอย่างระมัดระวังและรวดเร็วเพื่อลดเวลาที่ภาชนะเปิดสัมผัสอากาศ, จึงกลายเป็นสิ่ง จำเป็นอย่างยิ่งยวด เพื่อชดเชยข้อจำกัดด้านอุปกรณ์ ความสำเร็จของการทำที่บ้านจึงขึ้นอยู่กับความพิถีพิถันและความใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้มากกว่าปกติเสียอีก. 


3. เตรียมพร้อมลงมือ: อุปกรณ์พื้นฐานสำหรับแล็บในครัวเรือน


เมื่อเข้าใจถึงความสำคัญของการปลอดเชื้อแล้ว ก็ถึงเวลามาเตรียมอุปกรณ์กันครับ ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องลงทุนสูงเหมือนห้องแล็บ เพราะหลายอย่างสามารถหาได้ง่ายๆ หรือประยุกต์ใช้จากของในครัวเรือนได้.   


3.1 ภาชนะเพาะเลี้ยง (Culture Vessels): ใช้สำหรับใส่อาหารเลี้ยงเชื้อและเนื้อเยื่อพืช

  • ตัวเลือก:

    • ขวดแก้วทนร้อน: เช่น ขวดแยม, ขวดอาหารเด็ก, ขวดซอส หรือขวดแก้วอื่นๆ ที่มีฝาปิดและทนความร้อนจากการนึ่งได้.   

    • ถ้วย/กล่องพลาสติกทนร้อน: เลือกชนิดพลาสติก PP (Polypropylene) ที่ระบุว่าทนความร้อนได้สูง (เข้าไมโครเวฟหรือนึ่งได้) และมีฝาปิดสนิท.   

    • ถุงพลาสติกทนร้อน: เป็นทางเลือกที่ประหยัดมาก แต่ต้องเลือกชนิดที่ทนความร้อนสูงได้จริงๆ และต้องระวังเรื่องการปนเปื้อนที่ปากถุงเป็นพิเศษ.   


      ภาชนะเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช

  • ข้อดี-ข้อเสีย:

    • แก้ว: ทนทาน, ใช้ซ้ำได้หลายครั้ง, ล้างทำความสะอาดง่าย, มองเห็นการเจริญเติบโตชัดเจน แต่หนัก, แตกได้, และอาจราคาสูงกว่า.   

    • พลาสติก PP: ราคาถูก, เบา, ไม่แตก, แต่บางชนิดอาจขุ่นมัวหลังใช้ไปนานๆ หรือใช้ซ้ำได้จำกัดครั้งกว่าแก้ว.   

    • ถุง: ถูกสุดๆ, ประหยัดพื้นที่จัดเก็บและขนส่ง, แต่รูปทรงไม่แน่นอนทำให้เทอาหารยาก, เสี่ยงปนเปื้อนง่าย, และใช้แล้วทิ้ง.   

  • การเลือก: ควรเลือกภาชนะที่ปากกว้างพอให้ใช้เครื่องมือ (ปากคีบ) สอดเข้าไปทำงานได้สะดวก, ทนอุณหภูมิสูงจากการนึ่งฆ่าเชื้อ (ประมาณ 121°C), และมีฝาปิดที่ค่อนข้างสนิทเพื่อป้องกันการปนเปื้อนหลังการฆ่าเชื้อ. หากใช้ฝาเกลียว ควรคลายเกลียวเล็กน้อยขณะนึ่งเพื่อป้องกันแรงดันทำให้ขวดแตก หรืออาจใช้จุกสำลีอุดแล้วหุ้มด้วยฟอยล์อลูมิเนียมแทนก็ได้.

       

3.2 อาหารเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Growth Medium): เป็นหัวใจสำคัญที่ให้สารอาหารแก่พืช

  • ความสำคัญ: เปรียบเสมือนดินและปุ๋ยในขวด ประกอบด้วยแร่ธาตุ, วิตามิน, น้ำตาล (เป็นแหล่งพลังงาน), ฮอร์โมนพืช (ถ้าจำเป็น), และสารที่ทำให้แข็งตัว (วุ้น).   

  • สำหรับมือใหม่: วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้ อาหารผงสำเร็จรูปสูตร MS (Murashige & Skoog) ซึ่งเป็นสูตรมาตรฐานสากลที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย หาซื้อได้ง่าย และมีองค์ประกอบที่พืชส่วนใหญ่ต้องการครบถ้วน. เพียงนำผง MS มาผสมกับน้ำกลั่น, เติมน้ำตาลทรายขาว, เติมผงวุ้น, ปรับค่า pH (ถ้าทำได้), แล้วนำไปฆ่าเชื้อ.  


  • ส่วนประกอบหลักที่ควรรู้:

    • ธาตุอาหารหลัก/รอง (Macro/Micronutrients): เช่น ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, โพแทสเซียม, แคลเซียม, แมกนีเซียม, เหล็ก, สังกะสี ฯลฯ

    • วิตามิน: เช่น ไทอามีน (B1), ไพริดอกซิน (B6), กรดนิโคตินิก

    • น้ำตาล (Sugar): ส่วนใหญ่ใช้น้ำตาลทรายขาว (Sucrose) เป็นแหล่งคาร์บอนและพลังงาน.   

    • สารควบคุมการเจริญเติบโต (Plant Growth Regulators - PGRs): หรือฮอร์โมนพืช มักใช้กลุ่ม Auxins (เช่น NAA, IBA) เพื่อกระตุ้นการเกิดราก และ Cytokinins (เช่น BA, Kinetin, TDZ) เพื่อกระตุ้นการแตกยอด. อาหารสำเร็จรูปบางชนิดอาจไม่มีฮอร์โมนมาให้ ต้องซื้อแยกต่างหาก หรือบางชนิดอาจผสมมาให้แล้วสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ (เช่น สูตรแตกยอด, สูตรออกราก).   

    • สารทำให้แข็งตัว (Gelling Agent): นิยมใช้ วุ้น (Agar) หรือ เจลแลนกัม (Gellan Gum) ทำให้อาหารมีลักษณะคล้ายวุ้น ช่วยพยุงเนื้อเยื่อพืช.   


  • แหล่งซื้อ: สามารถหาซื้ออาหารผง MS, วุ้น, และฮอร์โมนพืชได้ตามร้านค้าออนไลน์ เช่น Lazada, Shopee โดยค้นหาคำว่า "อาหารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ MS" หรือ "MS medium" จะพบร้านค้าที่จำหน่ายโดยเฉพาะหลายร้าน. นอกจากนี้ ร้านขายเคมีภัณฑ์เกษตรหรืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์บางแห่งก็อาจมีจำหน่าย. มีทั้งแบบผงที่ต้องมาผสมเองทั้งหมด และแบบกึ่งสำเร็จรูปที่อาจผสมสารบางอย่างมาให้แล้ว หรือแม้กระทั่งแบบพร้อมใช้ที่ฆ่าเชื้อมาแล้วในถ้วยเล็กๆ.   


3.3 เครื่องมือฆ่าเชื้อ (Sterilization Tools): อุปกรณ์สำคัญที่สุดในการกำจัดเชื้อจุลินทรีย์

  • หัวใจสำคัญ: การฆ่าเชื้อ (Sterilization) คือการทำให้ ปราศจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิด 100% ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอาหารและอุปกรณ์ที่จะสัมผัสกับเนื้อเยื่อ.   


  • ทางเลือกในบ้าน:

    • หม้อนึ่งความดัน (Pressure Cooker): นี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดและแนะนำอย่างยิ่งสำหรับผู้เริ่มต้นที่บ้าน. หม้อนึ่งความดันที่ใช้ทำอาหารทั่วไปสามารถสร้างอุณหภูมิและความดันได้สูงพอ (ประมาณ 121°C, 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว หรือ psi) ซึ่งใกล้เคียงกับเครื่อง Autoclave ในห้องปฏิบัติการ และสามารถฆ่าสปอร์ของแบคทีเรียและเชื้อราที่ทนความร้อนสูงได้. หาซื้อได้ง่ายตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านเครื่องครัว และราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่า Autoclave มาก.   

    • หม้อนึ่งธรรมดา (Steamer) / หม้อต้ม: ใช้อุณหภูมิเพียง 100°C (จุดเดือดของน้ำ) ซึ่งอาจฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราส่วนใหญ่ได้ แต่ ไม่สามารถรับประกัน การทำลายสปอร์ที่ทนทานได้ทั้งหมด ทำให้มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนสูงกว่าการใช้หม้อนึ่งความดันอย่างมีนัยสำคัญ และต้องใช้เวลาในการนึ่งนานกว่ามาก (อาจต้องนึ่งซ้ำหลายครั้ง) วิธีนี้จึงไม่แนะนำหากต้องการความสำเร็จที่แน่นอน.

    • แอลกอฮอล์ 70% (Ethanol หรือ Isopropyl Alcohol): ใช้สำหรับ เช็ดฆ่าเชื้อ (Disinfection) บนพื้นผิวทำงาน, มือที่สวมถุงมือ, และเครื่องมือบางอย่างที่ไม่สามารถนึ่งได้ (เช่น ปากขวดด้านนอกหลังนึ่งเสร็จ). ข้อควรจำ: แอลกอฮอล์ไม่สามารถฆ่าสปอร์ได้ทุกชนิด และระเหยเร็ว จึง ไม่ เหมาะสำหรับใช้ฆ่าเชื้ออาหาร หรือเครื่องมือที่ต้องสัมผัสเนื้อเยื่อโดยตรง (เช่น ปากคีบ, ใบมีด ควรผ่านการนึ่งหรือลนไฟ).   

    • (ทางเลือกเสริม) เตาอบความร้อนสูง (Dry Heat Oven): สามารถใช้ฆ่าเชื้อเครื่องแก้วหรือเครื่องมือโลหะได้ แต่ต้องใช้อุณหภูมิสูงมาก (เช่น 160-180°C) และใช้เวลานานหลายชั่วโมง ซึ่งไม่เหมาะกับอาหารเลี้ยงเชื้อหรือภาชนะพลาสติก และไม่สะดวกเท่าหม้อนึ่งความดัน.   


3.4 เครื่องมือหยิบจับ (Handling Tools): ใช้สำหรับตัดแต่งและย้ายชิ้นส่วนพืช

  • ปากคีบปลายแหลมยาว (Forceps): ควรทำจากสแตนเลส ไม่เป็นสนิม และมีความยาวพอสมควร (ประมาณ 6 นิ้วขึ้นไป) เพื่อให้สามารถคีบชิ้นส่วนพืชในภาชนะลึกๆ ได้สะดวก.   

  • มีดผ่าตัด (Scalpel) หรือ ใบมีดโกน/คัตเตอร์คมๆ: ใช้สำหรับตัดแต่งเนื้อเยื่อ ควรเลือกชนิดที่คมกริบ ทำจากสแตนเลส และเปลี่ยนใบมีดได้ หรือใช้ใบมีดใหม่ทุกครั้ง. บางคนอาจประยุกต์ใช้กรรไกรเล็กๆ ที่คมและฆ่าเชื้อได้แทน.   

  • สำคัญ: เครื่องมือเหล่านี้ต้องผ่านการฆ่าเชื้อ ทุกครั้ง ก่อนนำมาใช้งาน วิธีที่ดีที่สุดคือห่อด้วยฟอยล์แล้วนึ่งในหม้อนึ่งความดันพร้อมกับอาหาร. อีกวิธีคือจุ่มแอลกอฮอล์ 70% แล้วนำไปลนไฟจากตะเกียงแอลกอฮอล์จนแอลกอฮอล์ระเหยหมด ต้องทำด้วยความระมัดระวังอย่างสูง และรอให้เย็นลงเล็กน้อยก่อนสัมผัสเนื้อเยื่อ.   


3.5 พื้นที่ทำงานปลอดเชื้อ (Sterile Workspace): ลดโอกาสที่เชื้อจากอากาศจะตกลงไปปนเปื้อน

  • ความท้าทาย: อากาศในบ้านเต็มไปด้วยฝุ่นและสปอร์ การเปิดภาชนะเพื่อย้ายเนื้อเยื่อจึงเป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงที่สุด.   

  • ทางเลือก DIY:

    • ตู้ปลอดเชื้ออย่างง่าย (Still Air Box - SAB): เป็นทางเลือกที่นิยมและทำได้ง่ายที่สุดสำหรับบ้าน ทำจากกล่องพลาสติกใสขนาดใหญ่ เจาะรูด้านหน้า 2 รู เพื่อสอดแขนเข้าไปทำงาน หลักการคือการสร้างพื้นที่ที่อากาศภายในค่อนข้างนิ่ง ไม่มีการไหลเวียนของลม ทำให้ฝุ่นและสปอร์ในอากาศตกลงสู่พื้นแทนที่จะฟุ้งกระจาย.   

    • วิธีทำ: เลือกกล่องพลาสติกใสที่มีฝาปิด ขนาดใหญ่พอที่จะวางอุปกรณ์และทำงานได้สะดวก (เช่น ขนาด 50-60 ลิตร) เจาะรูขนาดพอดีแขน 2 รูที่ด้านหน้า อาจติดขอบยางหรือเทปพันสายไฟเพื่อลดความคม ทำความสะอาดภายในกล่องให้ทั่วด้วยสบู่แล้วเช็ดตามด้วยแอลกอฮอล์ 70% ก่อนใช้งานทุกครั้ง นำอุปกรณ์ที่ฆ่าเชื้อแล้วทั้งหมด (ขวดอาหาร, เครื่องมือ, จานรองตัด) เข้าไปวางข้างใน จากนั้นสอดแขน (ที่สวมถุงมือและเช็ดแอลกอฮอล์แล้ว) เข้าไปทำงานอย่างช้าๆ และนุ่มนวล หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วซึ่งจะทำให้อากาศภายในกระเพื่อม.   

    • ข้อจำกัด: ตู้แบบนี้ไม่มีระบบกรองอากาศเหมือนตู้ Laminar Flow Hood ในห้องแล็บ ดังนั้นประสิทธิภาพจึงขึ้นอยู่กับความสะอาดเริ่มต้นและความนิ่งของอากาศภายในเป็นสำคัญ.   

    • แหล่งซื้อ/ไอเดีย: มีตู้ SAB แบบสำเร็จรูปขายในราคาไม่แพงนักบน Shopee หรือ Lazada. หรือสามารถค้นหาวิธีประดิษฐ์ (DIY Still Air Box) ได้จาก YouTube ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ.   


3.6 ของใช้อื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ (Other Useful Items)

  • น้ำกลั่น (Distilled Water): จำเป็นสำหรับผสมอาหารเลี้ยงเชื้อ และใช้ล้างชิ้นส่วนพืชหลังการฟอกฆ่าเชื้อ หาซื้อได้ตามร้านขายยา หรือร้านเคมีภัณฑ์.   

  • น้ำยาฟอกขาว (Household Bleach): ยี่ห้อทั่วไปที่มีส่วนผสมของโซเดียมไฮโปคลอไรต์ (Sodium Hypochlorite) ใช้สำหรับฟอกฆ่าเชื้อผิวพืช.   

  • แอลกอฮอล์ 70% (Ethanol หรือ Isopropyl Alcohol): สำหรับเช็ดฆ่าเชื้อพื้นผิวและอุปกรณ์.   

  • น้ำตาลทรายขาว: เลือกชนิดที่ขาวสะอาด ไม่มีสีเจือปน.   

  • ผงวุ้น (Agar): สำหรับทำให้อาหารแข็งตัว หาซื้อได้ตามร้านขายวัตถุดิบทำขนม หรือร้านเคมีภัณฑ์/ร้านค้าออนไลน์ที่ขายอุปกรณ์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อโดยเฉพาะ (คุณภาพอาจดีกว่า).   

  • ถุงมือยาง หรือ ถุงมือไนไตรล์: แบบใช้แล้วทิ้ง เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากมือ.   

  • หน้ากากอนามัย: ป้องกันเชื้อโรคจากลมหายใจ.   

  • กระดาษวัดค่า pH หรือ เครื่องวัด pH (ถ้ามี): สำหรับตรวจสอบและปรับค่า pH ของอาหารเลี้ยงเชื้อให้เหมาะสม (ประมาณ 5.6-5.8) ซึ่งสำคัญต่อการดูดซึมสารอาหารของพืช. หากไม่มี อาจเริ่มต้นโดยใช้สูตรสำเร็จรูปและน้ำกลั่นที่ค่า pH ค่อนข้างเป็นกลางไปก่อน.   

  • บีกเกอร์ หรือ ถ้วยตวง: สำหรับตวงส่วนผสมของเหลวและน้ำ.   

  • แท่งแก้วคน หรือ ช้อนสแตนเลส: สำหรับคนส่วนผสมให้ละลาย.

  • ฟอยล์อลูมิเนียม หรือ จุกสำลี: สำหรับปิดปากภาชนะขณะนึ่งฆ่าเชื้อ.   

  • (ทางเลือก) PPM (Plant Preservative Mixture): เป็นสารเคมีผสมที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารเลี้ยงเชื้อ สามารถเติมลงไปในอาหารก่อนหรือหลังนึ่งฆ่าเชื้อ (ขึ้นอยู่กับชนิด) ช่วยลดปัญหาการปนเปื้อนได้มาก โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่หรือเมื่อทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดเชื้อ 100%. อย่างไรก็ตาม PPM มีราคาค่อนข้างสูง และอาจมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืชบางชนิดได้ ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนใช้. อาจพิจารณาใช้หากประสบปัญหาการปนเปื้อนซ้ำๆ.   


ข้อควรระวังเกี่ยวกับหม้อนึ่งความดัน: แม้ว่าหม้อนึ่งความดันจะเป็นเครื่องมือทดแทน Autoclave ที่ดีที่สุดในบ้าน  และสามารถสร้างอุณหภูมิ (121°C) และแรงดัน (15 psi) ที่จำเป็นต่อการฆ่าเชื้อได้  แต่ก็มีข้อควรระวัง. หม้อนึ่งความดันในครัวเรือนต้องอาศัยการควบคุมเวลาและแรงดันด้วยตนเอง ซึ่งต่างจาก Autoclave ในห้องแล็บที่มีระบบควบคุมอัตโนมัติและแม่นยำกว่า. การนึ่งนานเกินไป (Over-sterilization) อาจทำให้อาหารเสื่อมสภาพ เช่น น้ำตาลไหม้เป็นสีน้ำตาล, วิตามินและฮอร์โมนสลายตัว, วุ้นไม่แข็งตัว หรือเกลือแร่ตกตะกอน ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตของพืช. ในทางกลับกัน การนึ่งน้อยเกินไป (Under-sterilization) ก็ไม่สามารถฆ่าสปอร์ที่ทนทานได้หมด ทำให้เกิดการปนเปื้อนในภายหลัง. ดังนั้น ผู้ใช้จึงต้องจับเวลาอย่างแม่นยำ โดยเริ่มนับเวลา 15-20 นาที หลังจากที่แรงดันในหม้อถึงระดับ 15 psi คงที่แล้วเท่านั้น  และต้องคอยสังเกตให้แรงดันคงที่ตลอดระยะเวลาการนึ่ง. อาจกล่าวได้ว่ามีขอบเขตของความผิดพลาดน้อยกว่าการใช้เครื่องมือในห้องแล็บ ความใส่ใจในการควบคุมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก.  



ตารางสรุปอุปกรณ์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสำหรับมือใหม่ที่บ้าน (Summary Table: Home Tissue Culture Equipment for Beginners)

อุปกรณ์ (Item)

หน้าที่ (Function)

สิ่งจำเป็น/ทางเลือก (Essential/Optional)

หาซื้อ/DIY (Where to Buy/DIY)

ข้อควรระวัง (Notes/Precautions)

ภาชนะเพาะเลี้ยง (ขวดแก้ว/พลาสติก PP)

ใส่อาหารและเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช

จำเป็น (Essential)

ร้านเครื่องครัว, ร้าน 20 บาท, ร้านค้าออนไลน์

ต้องทนร้อน 121°C ได้, ปากกว้างพอทำงาน, มีฝาปิดสนิท (คลายฝาตอนนึ่ง)

อาหารผงสำเร็จรูป MS

ให้สารอาหาร วิตามิน แก่พืช

จำเป็น (Essential)

ร้านค้าออนไลน์ (Lazada/Shopee), ร้านเคมีเกษตร/วิทยาศาสตร์

อ่านวิธีผสมและอัตราส่วนให้ถูกต้อง, เก็บในที่แห้งและเย็น

หม้อนึ่งความดัน (Pressure Cooker)

ฆ่าเชื้ออาหารและอุปกรณ์ด้วยไอน้ำแรงดันสูง

แนะนำอย่างยิ่ง (Highly Recommended)

ร้านเครื่องครัว, ห้างสรรพสินค้า

ต้องถึง 121°C/15 psi, จับเวลา 15-20 นาที หลัง แรงดันถึง, รอแรงดันลดเองก่อนเปิด

แอลกอฮอล์ 70%

เช็ดฆ่าเชื้อพื้นผิว, มือ (ใส่ถุงมือ), อุปกรณ์ภายนอก

จำเป็น (Essential)

ร้านขายยา, ซุปเปอร์มาร์เก็ต

ใช้สำหรับ Disinfection ไม่ใช่ Sterilization อาหาร/เครื่องมือภายใน, ระวังการติดไฟ

ปากคีบยาว / ใบมีดคม

หยิบจับ ตัดแต่ง เนื้อเยื่อพืช

จำเป็น (Essential)

ร้านเครื่องเขียน, ร้านอุปกรณ์การแพทย์, ร้านค้าออนไลน์

ต้องฆ่าเชื้อทุกครั้งก่อนใช้ (นึ่ง/ลนไฟ), เลือกสแตนเลส

ตู้ปลอดเชื้อ DIY (Still Air Box)

สร้างพื้นที่ทำงานลดการปนเปื้อนจากอากาศ

แนะนำอย่างยิ่ง (Highly Recommended)

DIY จากกล่องพลาสติกใส หรือซื้อสำเร็จรูปออนไลน์

ทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ก่อนใช้, ทำงานอย่างนุ่มนวล, ไม่ใช่ระบบกรองอากาศ

น้ำกลั่น (Distilled Water)

ผสมอาหาร, ล้างเนื้อเยื่อพืช

จำเป็น (Essential)

ร้านขายยา, ร้านเคมีภัณฑ์

ใช้น้ำกลั่นเท่านั้น ไม่ใช่น้ำประปาหรือน้ำดื่ม

น้ำยาฟอกขาว (Bleach)

ฟอกฆ่าเชื้อผิวพืช (Explant)

จำเป็น (Essential)

ซุปเปอร์มาร์เก็ต, ร้านค้าทั่วไป

ใช้เจือจางตามความเหมาะสม (เช่น 10%), ล้างออกให้หมดจด, ระวังอันตรายต่อผิวหนัง/ดวงตา

น้ำตาลทรายขาว

แหล่งพลังงานในอาหารเลี้ยงเชื้อ

จำเป็น (Essential)

ร้านค้าทั่วไป

เลือกชนิดขาวสะอาด

ผงวุ้น (Agar)

ทำให้สารอาหารแข็งตัวเป็นวุ้น

จำเป็น (Essential)

ร้านวัตถุดิบเบเกอรี่, ร้านเคมี/ออนไลน์

ใช้ตามอัตราส่วนที่แนะนำ, ต้มจนละลายใส

ถุงมือ / หน้ากากอนามัย

ป้องกันการปนเปื้อนจากผู้ปฏิบัติงาน

จำเป็น (Essential)

ร้านขายยา, ร้านค้าทั่วไป

ใช้แบบครั้งเดียวทิ้ง

กระดาษวัด pH / เครื่องวัด pH

วัดและปรับค่า pH อาหาร

ทางเลือก (Optional - for beginners)

ร้านอุปกรณ์วิทยาศาสตร์, ร้านค้าออนไลน์

pH ที่เหมาะสมคือ 5.6-5.8, การปรับต้องใช้กรด/ด่างเจือจาง

PPM (Plant Preservative Mixture)

สารช่วยยับยั้งการปนเปื้อนในอาหาร

ทางเลือก (Optional)

ร้านค้าออนไลน์เฉพาะทาง, ผู้จำหน่ายต่างประเทศ

มีราคาแพง, อาจมีผลต่อพืชบางชนิด, ใช้เมื่อจำเป็นหรือเจอปัญหาปนเปื้อนบ่อย

   

4. เริ่มปฏิบัติการ ขั้นตอนง่ายๆ ทีละสเต็ป


เมื่อเตรียมอุปกรณ์ครบแล้ว ก็ถึงเวลาลงมือปฏิบัติจริงกันครับ ขั้นตอนนี้ต้องเน้นความสะอาดและความระมัดระวังเป็นพิเศษ


4.1 การเตรียมอาหารเลี้ยงเชื้อ (Preparing the Growth Medium): (สมมติว่าใช้อาหารผงสำเร็จรูป MS และเตรียมอาหาร 1 ลิตร)

  1. ชั่งตวง: ชั่งผงอาหาร MS ตามปริมาณที่ระบุข้างบรรจุภัณฑ์สำหรับ 1 ลิตร (โดยทั่วไปประมาณ 4.4 กรัม แต่ควรตรวจสอบฉลากเสมอ). ชั่งน้ำตาลทรายขาวประมาณ 30 กรัม. ชั่งผงวุ้น (Agar) ประมาณ 6-8 กรัม (หรือตามคำแนะนำของวุ้นยี่ห้อนั้นๆ).   

  2. ละลาย: ตวงน้ำกลั่นประมาณ 800-900 มิลลิลิตร ใส่ในภาชนะทนร้อน (เช่น บีกเกอร์ หรือหม้อสแตนเลส). ค่อยๆ เทผง MS ลงไป คนให้ละลายจนหมด. จากนั้นเติมน้ำตาลทรายขาว คนจนละลายหมดเช่นกัน.   

  3. ปรับ pH (ถ้าทำได้): หากมีกระดาษวัด pH หรือเครื่องวัด ให้จุ่มลงในสารละลาย อ่านค่า pH. ค่าที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 5.6 - 5.8. หากค่าสูงไป (เป็นด่าง) ให้ค่อยๆ หยดกรดอ่อนๆ (เช่น น้ำส้มสายชูที่เจือจางมากๆ หรือกรดไฮโดรคลอริกเจือจาง - หากมีและใช้เป็น) ทีละหยด คนแล้ววัดใหม่. หากค่าต่ำไป (เป็นกรด) ให้ค่อยๆ เติมด่างอ่อนๆ (เช่น เบกกิ้งโซดาที่ละลายน้ำแล้ว หรือ โซเดียม/โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์เจือจาง - หากมีและใช้เป็น) ทีละน้อย คนแล้ววัดใหม่ ทำซ้ำจนได้ค่า pH ที่ต้องการ. ขั้นตอนนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน หากไม่มีอุปกรณ์วัด อาจข้ามไปก่อนสำหรับครั้งแรก แต่ผลลัพธ์อาจไม่ดีเท่าที่ควร.   

  4. ปรับปริมาตร: เติมน้ำกลั่นเพิ่มจนได้ปริมาตรครบ 1 ลิตรพอดี คนให้เข้ากัน.   

  5. เติมวุ้น: ค่อยๆ โรยผงวุ้นลงในสารละลาย คนให้กระจายตัว.   

  6. ต้มวุ้น: นำภาชนะไปตั้งไฟอ่อนๆ หรือเข้าไมโครเวฟเป็นช่วงสั้นๆ คนเป็นระยะ จนกระทั่งส่วนผสมเดือดเบาๆ และผงวุ้นละลายหมด สังเกตว่าสารละลายจะใสขึ้น ไม่มีเม็ดวุ้นขุ่นๆ เหลืออยู่. ต้องระวังอย่าให้เดือดรุนแรงจนล้นออกมา.   

  7. เทใส่ภาชนะ: รีบเทอาหารที่ยังร้อนจัดใส่ขวดหรือภาชนะเพาะเลี้ยงที่เตรียมไว้ (ซึ่งควรล้างสะอาดและอาจเช็ดด้วยแอลกอฮอล์รอไว้) เทให้ได้ความสูงประมาณ 1-2 เซนติเมตร หรือ 1/4 - 1/3 ของความสูงภาชนะ. ขั้นตอนนี้สำคัญมาก: ต้องเทอย่างระมัดระวังที่สุด ไม่ให้อาหารหกเลอะเปื้อนบริเวณปากขวดหรือขอบภาชนะ เพราะคราบอาหารที่แห้งติดอยู่จะเป็นแหล่งสะสมและทางเข้าของเชื้อโรคได้ง่ายมาก หากเลอะ ควรเช็ดออกทันทีด้วยทิชชูสะอาด หรือเปลี่ยนภาชนะใหม่.   

  8. ปิดฝา: ปิดฝาภาชนะทันที หากเป็นฝาเกลียวให้ปิดหลวมๆ ก่อนนำไปนึ่ง หากเป็นฝาเรียบอาจวางไว้เฉยๆ หรือใช้จุกสำลีที่สะอาดอุดปากขวดแล้วหุ้มทับด้วยฟอยล์อลูมิเนียม.   


4.2 การฆ่าเชื้ออาหารและอุปกรณ์ (Sterilizing Media and Equipment):

  1. เตรียมหม้อนึ่ง: ใส่น้ำสะอาดที่ก้นหม้อนึ่งความดันตามระดับที่คู่มือกำหนด วางตะแกรงรองก้นหม้อ.

  2. จัดวาง: นำขวด/ภาชนะที่บรรจุอาหารแล้ววางลงบนตะแกรง. หากมีเครื่องมือ เช่น ปากคีบ ใบมีด ที่ต้องการฆ่าเชื้อพร้อมกัน ให้ห่อด้วยฟอยล์อลูมิเนียมแยกชิ้น แล้ววางลงไปด้วย. จัดเรียงไม่ให้แน่นเกินไป เพื่อให้ไอน้ำสามารถไหลเวียนได้อย่างทั่วถึง. ปิดฝาหม้อนึ่งความดันให้สนิทตามระบบล็อคของหม้อ.

  3. ให้ความร้อนและสร้างแรงดัน: เปิดไฟแรง (หรือตามคำแนะนำของหม้อ) รอจนไอน้ำเริ่มพุ่งออกจากวาล์วปล่อยไอน้ำ หรือตัวบ่งชี้แรงดันแสดงว่าถึงระดับ 15 psi (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) หรือประมาณ 1 บาร์ เหนือความดันบรรยากาศ.   

  4. จับเวลาฆ่าเชื้อ: เมื่อแรงดันคงที่ที่ 15 psi แล้ว ให้เริ่มจับเวลา 15-20 นาที. ควรรักษาแรงดันให้คงที่ตลอดช่วงเวลานี้ อาจต้องปรับลดความร้อนลงเล็กน้อย.   

  5. ลดความดัน: เมื่อครบเวลา ให้ปิดไฟทันที แล้วปล่อยให้หม้อเย็นลงและแรงดันลดลงสู่ระดับปกติ ด้วยตัวเอง ห้าม รีบเปิดฝาหม้อ หรือใช้น้ำราดเพื่อลดความดันอย่างรวดเร็ว เพราะการเปลี่ยนแปลงความดันและอุณหภูมิอย่างรวดเร็วอาจทำให้อาหารที่ยังร้อนจัดในขวดเดือดพล่านทะลักออกมาปนเปื้อนปากขวด หรือทำให้ขวดแก้วแตกได้.   

  6. นำออกและทำให้เย็น: เมื่อเข็มวัดแรงดันตกมาที่ 0 หรือไม่มีไอน้ำพุ่งออกมาแล้ว ให้ค่อยๆ เปิดฝาหม้อด้วยความระมัดระวัง (ไอน้ำยังร้อนจัด). ใช้ถุงมือกันความร้อนหรือที่คีบ หยิบขวดอาหารและห่ออุปกรณ์ออกมาวางพักบนพื้นที่สะอาด (เช่น ภายในตู้ปลอดเชื้อ DIY ที่เช็ดแอลกอฮอล์รอไว้) ปล่อยให้เย็นลงจนถึงอุณหภูมิห้อง. เมื่อเย็นแล้ว ให้ปิดฝาขวดให้แน่นขึ้น (ถ้าเป็นฝาเกลียว) หรือปิดฝาให้สนิท. อาหารวุ้นจะค่อยๆ แข็งตัวเมื่อเย็นลง.


4.3 การเตรียมชิ้นส่วนพืช (Preparing Your Plant Explant): ขั้นตอนนี้คือการนำชิ้นส่วนพืชที่เราเลือกมาทำความสะอาดและฟอกฆ่าเชื้อบนผิวภายนอก

  1. เลือกชิ้นส่วน: เลือกส่วนของพืชต้นแม่ที่ดูแข็งแรง สดใหม่ ปราศจากร่องรอยของโรคหรือแมลง. สำหรับมือใหม่ ควรเลือกส่วนที่ค่อนข้างสะอาดและจัดการง่าย เช่น:

    • ใบ: โดยเฉพาะใบอ่อนที่สมบูรณ์เต็มที่แต่ยังไม่แก่จัด เช่น ใบแอฟริกันไวโอเล็ต.   

    • ข้อ (Node): คือส่วนของลำต้นที่มีตา ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นยอดใหม่ได้ง่าย.   

    • เมล็ด: เมล็ดที่มีเปลือกแข็งมักจะทนทานต่อการฟอกฆ่าเชื้อได้ดี และมีโอกาสปนเปื้อนภายในน้อยกว่า.   

       

  2. ล้างเบื้องต้น: นำชิ้นส่วนพืชที่เลือกมาล้างด้วยน้ำประปาไหลผ่าน อาจใช้แปรงขนนุ่มๆ หรือนิ้วถูเบาๆ เพื่อกำจัดฝุ่น ดิน หรือสิ่งสกปรกที่มองเห็นได้ออกไป อาจล้างด้วยน้ำผสมสบู่อ่อนๆ หรือน้ำยาล้างจานเล็กน้อย แล้วล้างตามด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้งจนหมดฟอง.   


  3. ฟอกฆ่าเชื้อผิว (Surface Sterilization): ขั้นตอนนี้ต้องทำในที่สะอาดที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือทำภายในตู้ปลอดเชื้อ DIY.

    • (แนะนำ) จุ่มแอลกอฮอล์: นำชิ้นส่วนพืชที่ล้างสะอาดแล้ว จุ่มลงในแอลกอฮอล์ 70% (หรืออาจใช้ 95% ตามบางตำรา ) เป็นเวลาสั้นๆ ประมาณ 20-60 วินาที เพื่อช่วยลดแรงตึงผิวและฆ่าเชื้อเบื้องต้น จากนั้นรีบนำขึ้น.   

    • แช่น้ำยาฟอกขาว: เตรียมสารละลายน้ำยาฟอกขาวเจือจาง โดยผสมน้ำยาฟอกขาวสำหรับซักผ้า (ที่มีโซเดียมไฮโปคลอไรต์เป็นส่วนประกอบหลัก) กับน้ำกลั่นที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว ในอัตราส่วนประมาณ 1:9 (น้ำยาฟอกขาว 1 ส่วน ต่อน้ำกลั่น 9 ส่วน) ซึ่งจะได้ความเข้มข้นประมาณ 0.5-0.6% โซเดียมไฮโปคลอไรต์. อาจเติมสารลดแรงตึงผิว (Wetting agent) เช่น น้ำยาล้างจาน หรือ Tween 20 เพียง 1-2 หยด เพื่อช่วยให้น้ำยาฟอกขาวสัมผัสผิวพืชได้ดีขึ้น. นำชิ้นส่วนพืชลงแช่ในสารละลายนี้ให้ท่วม ปิดฝาภาชนะ เขย่าเบาๆ เป็นครั้งคราว ระยะเวลาในการแช่จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดและความหนาของเนื้อเยื่อพืช โดยทั่วไปอาจใช้เวลา 10-20 นาที. ควรเริ่มต้นด้วยเวลาน้อยๆ ก่อน หากพบว่ายังปนเปื้อนค่อยเพิ่มเวลาในการแช่ครั้งต่อไป.   

    • ล้างน้ำกลั่นฆ่าเชื้อ: เมื่อครบกำหนดเวลา ใช้ปากคีบที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว คีบชิ้นส่วนพืชออกมาอย่างรวดเร็ว และนำไปล้างในน้ำกลั่นที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว (เตรียมไว้ในภาชนะที่ฆ่าเชื้อแล้วหลายๆ ใบ) ล้างซ้ำๆ ประมาณ 3-5 ครั้ง ครั้งละ 1-2 นาที เพื่อกำจัดน้ำยาฟอกขาวที่ตกค้างออกให้หมด เพราะสารฟอกขาวเป็นพิษต่อเนื้อเยื่อพืช.   


4.4 ขั้นตอนสำคัญ: การย้ายเนื้อเยื่อ (The Critical Transfer: Inoculation): นี่คือขั้นตอนที่ต้องปลอดเชื้อมากที่สุด เพราะเป็นการนำเนื้อเยื่อพืชที่สะอาดแล้วลงสู่อาหารเลี้ยงเชื้อ


  1. เตรียมพื้นที่ทำงานปลอดเชื้อ: ทำความสะอาดภายในตู้ปลอดเชื้อ DIY ด้วยการฉีดพ่นหรือเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ 70% ให้ทั่ว ทิ้งไว้สักครู่ให้แอลกอฮอล์ทำงานและระเหย. นำเฉพาะอุปกรณ์ที่จำเป็นและผ่านการฆ่าเชื้อแล้วเข้าไปวางข้างใน ได้แก่ ขวดอาหารที่เย็นสนิทแล้ว, ภาชนะ (เช่น จานเพาะเชื้อ หรือแผ่นกระเบื้องสะอาด) ที่เช็ดแอลกอฮอล์แล้วสำหรับใช้เป็นที่วางพักและตัดแต่งเนื้อเยื่อ, ปากคีบและใบมีดที่ฆ่าเชื้อแล้ว, ตะเกียงแอลกอฮอล์ (ถ้าใช้), และชิ้นส่วนพืชที่ฟอกฆ่าเชื้อและล้างน้ำกลั่นเสร็จแล้ว (อาจใส่ในบีกเกอร์หรือจานที่มีน้ำกลั่นฆ่าเชื้อหล่ออยู่เล็กน้อย).   

  2. เตรียมตัวผู้ปฏิบัติงาน: ล้างมือให้สะอาด สวมถุงมือยางและหน้ากากอนามัย ฉีดพ่นหรือเช็ดถุงมือด้วยแอลกอฮอล์ 70%.   

  3. ทำงานในตู้: สอดแขนทั้งสองข้างเข้าไปในช่องของตู้ปลอดเชื้อ ทำงานด้วยความนิ่งและนุ่มนวล พยายามไม่ให้เกิดการเคลื่อนไหวของอากาศภายในตู้มากนัก หลีกเลี่ยงการพูด ไอ หรือจามขณะทำงาน.   

  4. ฆ่าเชื้อเครื่องมือซ้ำ: ก่อนสัมผัสเนื้อเยื่อ ควรฆ่าเชื้อปลายปากคีบและใบมีดอีกครั้ง โดยจุ่มในแอลกอฮอล์ 70% แล้วลนไฟจากตะเกียงแอลกอฮอล์ อย่างระมัดระวัง (ถือให้ปลายเครื่องมือชี้ลง เปลวไฟจะเผาแอลกอฮอล์ที่ติดอยู่ออกไป) รอให้เปลวไฟดับและเครื่องมือเย็นลงเล็กน้อย (ทดสอบโดยแตะกับอาหารวุ้นที่ขอบๆ). หากไม่สะดวกใช้ไฟ อาจใช้วิธีจุ่มแอลกอฮอล์แล้วเช็ดด้วยผ้าก๊อซหรือทิชชูที่ฆ่าเชื้อแล้ว หรือใช้เครื่องมือหลายๆ อันที่ผ่านการนึ่งมาแล้วสลับกันใช้.   

  5. ตัดแต่งและวางเนื้อเยื่อ: ใช้ปากคีบคีบชิ้นส่วนพืชที่ฟอกฆ่าเชื้อแล้ววางลงบนจานรองตัดที่สะอาด. ใช้ใบมีดที่ฆ่าเชื้อแล้ว ตัดส่วนขอบๆ ที่อาจเสียหายหรือไหม้จากการฟอกฆ่าเชื้อทิ้งไป. ตัดแบ่งเนื้อเยื่อส่วนที่สมบูรณ์ออกเป็นชิ้นขนาดพอเหมาะ (เช่น ขนาดประมาณ 0.5 - 1 ตารางเซนติเมตร สำหรับใบ หรือ ข้อที่มีตา 1 ข้อ). เปิดฝาขวดอาหารออก (เปิดให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น และเปิดในแนวนอนหรือคว่ำฝาลงบนพื้นที่สะอาด เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นตกลงไป). ใช้ปากคีบคีบชิ้นเนื้อเยื่อที่ตัดแต่งแล้วอย่างเบามือ นำไปวางลงบนผิวอาหารวุ้นในขวด กดเบาๆ ให้ผิวเนื้อเยื่อสัมผัสกับอาหาร แต่ระวังอย่าให้จมลงไปในวุ้น. อาจวาง 1-3 ชิ้นต่อขวด ขึ้นอยู่กับขนาด.   

  6. ปิดฝาและซีล: รีบปิดฝาขวดอาหารให้สนิททันที. เพื่อเพิ่มการป้องกันการปนเปื้อน อาจใช้พาราฟิล์ม (Parafilm) หรือเทปใสพันรอบบริเวณฝาและปากขวดอีกชั้นหนึ่ง.   

  7. ทำซ้ำและทำความสะอาด: ทำซ้ำขั้นตอนการตัดแต่งและวางเนื้อเยื่อจนหมด หรือได้จำนวนขวดที่ต้องการ. เมื่อเสร็จสิ้นการทำงาน ให้นำอุปกรณ์ทุกอย่างออกจากตู้ปลอดเชื้อ แล้วทำความสะอาดตู้และเครื่องมือต่างๆ ให้เรียบร้อย.


การรักษาสมดุลในการฆ่าเชื้อ: ขั้นตอนนี้มีความละเอียดอ่อน เพราะสารเคมีที่รุนแรงอย่างน้ำยาฟอกขาว  หรือความร้อนสูงจากการนึ่ง  ซึ่งจำเป็นต่อการกำจัดเชื้อโรค  ก็สามารถทำอันตรายหรือฆ่าเนื้อเยื่อพืชที่บอบบางได้เช่นกัน. มันคือการหาสมดุลที่พอดีระหว่างการฆ่าเชื้อให้ตายหมดกับการรักษาเนื้อเยื่อพืชให้รอดชีวิต. การใช้สารเคมีความเข้มข้นสูงหรือแช่นานเกินไปอาจทำให้เนื้อเยื่อไหม้หรือตาย แต่ถ้าอ่อนไปหรือสั้นไป เชื้อโรคก็จะหลงเหลือและทำให้เกิดการปนเปื้อน. สำหรับมือใหม่ การหาจุดสมดุลนี้อาจต้องอาศัยการทดลองและยอมรับความล้มเหลวในครั้งแรกๆ (ไม่ว่าจะเกิดจากการปนเปื้อน หรือเนื้อเยื่อตาย). การเริ่มต้นด้วยสูตรและเวลาที่แนะนำสำหรับพืชที่ทำง่าย เช่น แอฟริกันไวโอเล็ต  เป็นทางที่ดีที่สุด แต่ก็อาจต้องปรับเปลี่ยนบ้างตามผลที่สังเกตได้. เทคนิคที่ผู้มีประสบการณ์แนะนำคือการลองใช้ความเข้มข้นของสารฟอกขาวที่ต่ำลง แต่เพิ่มระยะเวลาในการแช่ให้นานขึ้น  ซึ่งอาจช่วยลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อพืชได้บ้าง.   


4.5 การบ่มเพาะ: รอคอยการเติบโต (Incubation): หลังจากย้ายเนื้อเยื่อลงอาหารแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการนำไปบ่มเพาะในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม


  1. ติดฉลาก: เขียนข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อพืช, ชนิดของชิ้นส่วนที่ใช้ (ใบ/ข้อ/เมล็ด), และวันที่ทำการย้ายเนื้อเยื่อ ลงบนขวดหรือภาชนะแต่ละใบให้ชัดเจน.

  2. หาสถานที่วาง: เลือกมุมในบ้านที่ค่อนข้างสะอาด อากาศถ่ายเทไม่แรงจนเกินไป (เพื่อลดฝุ่น) และสามารถควบคุมอุณหภูมิและแสงได้ระดับหนึ่ง ไม่ควรวางใกล้หน้าต่างที่แดดส่องถึงโดยตรง หรือใกล้ช่องแอร์ที่ลมเป่าแรง.   

  3. อุณหภูมิ: โดยทั่วไป อุณหภูมิห้องปกติของประเทศไทย (ประมาณ 25-28 องศาเซลเซียส) ก็มักจะเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อพืชเขตร้อนส่วนใหญ่. พยายามรักษาอุณหภูมิให้ค่อนข้างคงที่ หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว.   

  4. แสง: เนื้อเยื่อพืชต้องการแสงเพื่อการสังเคราะห์แสงและการเจริญเติบโต แต่ไม่ต้องการแสงแดดจัดโดยตรง. แสงสว่างจากหน้าต่างที่ไม่โดนแดดโดยตรง (แสงรำไร) หรือแสงจากหลอดไฟ เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ หรือหลอด LED (อาจใช้หลอดไฟสำหรับปลูกต้นไม้ หรือหลอดไฟบ้านทั่วไปก็ได้) โดยให้แสงประมาณวันละ 12-16 ชั่วโมง ก็เพียงพอแล้ว. อาจใช้ชั้นวางของธรรมดาติดหลอดไฟก็ได้.   

  5. การดูแลและสังเกตการณ์: ขั้นตอนนี้คือการ "รอ" แต่ต้องรออย่างใส่ใจ. ควรหมั่นตรวจดูขวดเพาะเลี้ยงทุกวัน สังเกตการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อพืช เช่น การขยายขนาด, การเปลี่ยนสี, การเริ่มแตกยอดหรือราก. และที่สำคัญที่สุดคือ การตรวจหาการปนเปื้อน. สังเกตหาสิ่งผิดปกติ เช่น:

    • เชื้อรา: มักเห็นเป็นเส้นใยฟูๆ สีขาว เขียว เทา หรือดำ เจริญบนผิวอาหารหรือบนเนื้อเยื่อพืช.   

    • แบคทีเรีย: มักทำให้อาหารขุ่นเป็นเมือก หรือมีลักษณะเป็นวุ้นเหลวๆ รอบๆ ชิ้นเนื้อเยื่อ อาจมีสีขาวขุ่น เหลือง หรือสีอื่นๆ.   

       

  6. ระยะเวลา: การเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อพืชใช้เวลาแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับชนิดของพืช, ชิ้นส่วนที่ใช้, สูตรอาหาร, และสภาพแวดล้อม. บางชนิดอาจเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 1-2 สัปดาห์ บางชนิดอาจใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะเริ่มแตกยอดหรือราก. ความอดทน คือสิ่งสำคัญที่สุดในขั้นตอนนี้.   


5. ข้อควรระวังและเคล็ดลับสู่ความสำเร็จ

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชที่บ้านอาจมีอุปสรรคบ้าง แต่ถ้าเราเข้าใจปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและรู้วิธีป้องกัน ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จได้มากครับ

  • ย้ำ! ย้ำ! ย้ำ! เรื่องความสะอาด: ขอย้ำอีกครั้งว่านี่คือปัจจัยสำคัญที่สุด. ต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดในทุกขั้นตอนอย่างแท้จริง:

    • พื้นผิวทำงาน: เช็ดโต๊ะ ตู้ปลอดเชื้อ หรือบริเวณที่จะทำงานด้วยแอลกอฮอล์ 70% ทั้งก่อนและหลังการใช้งานเสมอ.   

    • มือ: ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ก่อนเริ่มงาน และสวมถุงมือยางที่สะอาด เช็ดถุงมือด้วยแอลกอฮอล์ 70% บ่อยๆ ระหว่างทำงาน.   

    • อากาศ: ทำงานในตู้ปลอดเชื้อ DIY หรือบริเวณที่ลมสงบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลีกเลี่ยงการพูดคุย ไอ หรือจาม เหนือภาชนะเพาะเลี้ยงที่เปิดอยู่.   

    • การสัมผัส: ห้ามใช้นิ้วมือเปล่าสัมผัสเนื้อเยื่อพืช อาหารเลี้ยงเชื้อ หรือส่วนด้านในของภาชนะและเครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วเด็ดขาด.   

       

  • ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและการป้องกัน:

    • การฆ่าเชื้ออาหาร/อุปกรณ์ไม่สมบูรณ์: อาจเกิดจากการใช้เวลาหรือแรงดันในหม้อนึ่งความดันไม่ถูกต้อง หรือจัดเรียงของในหม้อแน่นเกินไป ทำให้ไอน้ำเข้าไม่ถึง. ป้องกัน: ปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้หม้อนึ่งความดันอย่างเคร่งครัด (121°C, 15 psi, 15-20 นาที).   

    • การฟอกฆ่าเชื้อผิวพืชไม่ได้ผล: เชื้อโรคที่ติดมากับผิวพืชยังหลงเหลืออยู่ ทำให้เกิดการปนเปื้อน. ป้องกัน: เลือกใช้น้ำยาฟอกขาวที่ยังใหม่ (ประสิทธิภาพจะลดลงตามอายุ) ปรับความเข้มข้นและระยะเวลาแช่ให้เหมาะสมกับชนิดพืช (อาจต้องทดลอง) และล้างน้ำกลั่นฆ่าเชื้อให้สะอาดหมดจด.   

    • การฟอกฆ่าเชื้อผิวพืชรุนแรงเกินไป: ทำให้เนื้อเยื่อพืชเสียหาย ไหม้ หรือตาย. ป้องกัน: ลดความเข้มข้นของน้ำยาฟอกขาว หรือลดระยะเวลาในการแช่ลง ลองเปรียบเทียบผล.   

    • การปนเปื้อนระหว่างการย้ายเนื้อเยื่อ: เป็นขั้นตอนที่เสี่ยงที่สุด เกิดจากเชื้อในอากาศ, เครื่องมือไม่สะอาดพอ, หรือการสัมผัสโดยไม่ตั้งใจ. ป้องกัน: ทำงานในตู้ปลอดเชื้ออย่างระมัดระวังและรวดเร็ว, ฆ่าเชื้อเครื่องมือ (ปากคีบ, ใบมีด) ซ้ำบ่อยๆ ด้วยการลนไฟหรือจุ่มแอลกอฮอล์, เปิดฝาขวดอาหารให้น้อยที่สุดและเร็วที่สุด.   

    • อาหารเลี้ยงเชื้อหกเลอะปากขวด: เป็นสะพานให้เชื้อโรคจากภายนอกคลานเข้าไปในขวดได้ง่าย. ป้องกัน: เทอาหารอย่างระมัดระวัง หากเลอะให้เช็ดออกทันที หรือเปลี่ยนขวด. หลังนึ่งฆ่าเชื้อและขวดเย็นลงแล้ว อาจใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดรอบปากขวดด้านนอกอีกครั้งก่อนนำไปใช้งาน.   


  • ความอดทนคือกุญแจสำคัญ: การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้องใช้เวลา บางครั้งอาจนานหลายเดือนกว่าจะเห็นผล อย่าเพิ่งหมดกำลังใจหากการทดลองครั้งแรกๆ ล้มเหลว หรือพืชเติบโตช้า. ให้ถือว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ สังเกตว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น และพยายามแก้ไขในครั้งต่อไป.   


  • วิธีจัดการเมื่อเกิดการปนเปื้อน:

    • แยกออกทันที: หากสังเกตเห็นขวดใดมีลักษณะของการปนเปื้อน (ราขึ้น, อาหารขุ่น) ให้รีบนำขวดนั้นออกจากบริเวณที่วางขวดอื่นๆ ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้สปอร์หรือเชื้อแพร่กระจายไปยังขวดอื่น.   

    • กำจัดอย่างถูกวิธี: ห้ามเปิดฝาขวดที่ปนเปื้อนในบริเวณทำงานหรือในบ้านเด็ดขาด เพราะจะเป็นการแพร่สปอร์เชื้อโรค. วิธีที่ดีที่สุดคือ นำขวดที่ปนเปื้อนนั้นไปนึ่งฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งความดันอีกครั้ง (ที่ 121°C, 15 psi, 20-30 นาที) เพื่อฆ่าเชื้อโรคให้ตายทั้งหมดก่อนนำไปเททิ้งและล้างขวด. หากไม่สะดวกนึ่ง อาจใส่ขวดลงในถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น แล้วนำไปทิ้งในถังขยะติดเชื้อ (ถ้ามี) หรือทิ้งรวมกับขยะทั่วไปโดยระมัดระวัง

         

6. พืชแนะนำสำหรับมือใหม่หัดเพาะ


การเลือกชนิดพืชที่เหมาะสมเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับมือใหม่ ควรเลือกพืชที่ค่อนข้างแข็งแรง ทนทานต่อกระบวนการฟอกฆ่าเชื้อได้ดี ตอบสนองต่ออาหารสูตรพื้นฐาน (เช่น MS) และมีข้อมูลหรือตัวอย่างความสำเร็จจากผู้ที่เคยทำมาก่อน


  • ตัวเลือกยอดนิยมที่แนะนำ

    • แอฟริกันไวโอเล็ต (African Violet - Saintpaulia ionantha): ถือเป็น "ราชา" ของพืชสำหรับมือใหม่หัดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเลยก็ว่าได้. นิยมใช้ส่วนใบในการเพาะเลี้ยง ซึ่งหาง่าย จัดการง่าย ฟอกฆ่าเชื้อง่าย และมักจะตอบสนองต่ออาหารสูตร MS พื้นฐานได้ดี เกิดแคลลัสและแตกต้นใหม่ได้ค่อนข้างเร็ว ทำให้เห็นผลและมีกำลังใจ.   

    • กล้วยไม้ (Orchids): เป็นกลุ่มพืชแรกๆ ที่มีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกันอย่างแพร่หลาย ทำให้มีข้อมูลและสูตรอาหารสำเร็จรูปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ในสภาพปลอดเชื้อ หรือการเลี้ยงจากตา หน่อ หรือชิ้นส่วนต่างๆ. การเพาะเมล็ดอาจง่ายกว่าการเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนอื่นสำหรับบางชนิด.   

    • เมล็ดพืชบางชนิด: การเพาะเมล็ดในสภาพปลอดเชื้อ (In vitro germination) มักจะง่ายกว่าการเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนอื่น เพราะเมล็ดมักทนทานต่อการฟอกฆ่าเชื้อได้ดีกว่า และมีโอกาสปนเปื้อนภายในน้อย. ตัวอย่างเช่น เมล็ดพืชกินแมลงอย่าง กาบหอยแครง (Venus Flytrap - VFT), หยาดน้ำค้าง (Sundew), หรือหม้อข้าวหม้อแกงลิง (Nepenthes). รวมถึงเมล็ดพืชผักบางชนิด เช่น มะเขือเทศ.   

    • พืชวงศ์ Solanaceae (วงศ์มะเขือ): เช่น ยาสูบ, มันฝรั่ง, มะเขือเทศ เป็นกลุ่มที่มีงานวิจัยรองรับจำนวนมาก ทำให้หาสูตรอาหารและวิธีการได้ง่าย และมักจะสามารถชักนำให้เกิดยอดและรากได้โดยไม่ต้องใช้ฮอร์โมนพืชที่ซับซ้อนนัก.   

    • พืชอวบน้ำ หรือ ไม้น้ำบางชนิด: บางชนิดอาจฟอกฆ่าเชื้อง่ายและเลี้ยงไม่ยากนัก แต่บางชนิดก็อาจต้องการสูตรอาหารหรือสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจง.   


  • ส่วนของพืชที่แนะนำสำหรับเริ่มต้น: โดยทั่วไปแล้ว ใบ , ข้อที่มีตา , หรือ เมล็ด  มักจะเป็นส่วนที่จัดการได้ง่ายและมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าสำหรับมือใหม่ เมื่อเทียบกับการใช้ราก หรือส่วนอื่นๆ ที่อาจฟอกฆ่าเชื้อง่าย หรือต้องการฮอร์โมนที่ซับซ้อนกว่า.   


7. หาซื้อของได้ที่ไหน?


การหาแหล่งซื้ออุปกรณ์และสารเคมีเป็นอีกขั้นตอนสำคัญ ปัจจุบันมีทางเลือกหลากหลายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ในประเทศไทย


  • อาหารผงสำเร็จรูป (MS Powder), วุ้น (Agar), ฮอร์โมนพืช (PGRs):

    • ร้านค้าออนไลน์ (Online Marketplaces): แพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Lazada และ Shopee เป็นแหล่งที่สะดวกและมีตัวเลือกหลากหลายมากที่สุด ลองค้นหาด้วยคำว่า "อาหารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ MS", "MS medium", "ผงวุ้นเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ", "ฮอร์โมน BA", "ฮอร์โมน NAA" เป็นต้น จะพบร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล่านี้โดยเฉพาะ มีทั้งแบบผงสำหรับผสมเอง, แบบสารละลายเข้มข้น (Stock solution), แบบกึ่งสำเร็จรูป, หรือแม้แต่ฮอร์โมนที่แบ่งขายในปริมาณน้อยสำหรับทดลอง. ควรอ่านรายละเอียดสินค้า, รีวิวจากผู้ซื้อรายอื่น, และเปรียบเทียบราคา/คุณภาพก่อนตัดสินใจ.   

    • ร้านเคมีภัณฑ์/อุปกรณ์วิทยาศาสตร์: ร้านค้าที่จำหน่ายสารเคมีและอุปกรณ์สำหรับห้องปฏิบัติการโดยตรง บางแห่งอาจมีอาหาร MS หรือสารเคมีที่จำเป็นจำหน่าย แต่ส่วนใหญ่มักขายในปริมาณมากและอาจไม่สะดวกสำหรับมือใหม่.   

    • ผู้จำหน่าย/แล็บโดยตรง: บางแล็บเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออาจมีการแบ่งจำหน่ายอาหารหรือสารเคมี เช่น DR Lab ที่ชลบุรี  หรือ KC LAB  ที่มีสูตรอาหารของตัวเองจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์.   

    • ผู้จำหน่ายต่างประเทศ: บริษัทอย่าง Plant Cell Technology (สหรัฐอเมริกา)  หรือ InVitroGardenSupply (สหรัฐอเมริกา)  มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย รวมถึง PPM และชุดคิท แต่ต้องพิจารณาเรื่องค่าขนส่ง, ภาษีนำเข้า, และข้อจำกัดในการนำเข้าสารเคมีหรือผลิตภัณฑ์ชีวภาพบางชนิดเข้าประเทศไทย.   


  • ชุดคิทสำหรับเริ่มต้น (Starter Kits):

    • ในประเทศ: บางร้านค้าบน Lazada/Shopee อาจจัดชุดรวมอุปกรณ์พื้นฐานหรือสารเคมีเริ่มต้นจำหน่าย ลองค้นหา "ชุดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ".   

    • ต่างประเทศ: Plant Cell Technology , Plants in Jars , InVitroGardenSupply  มีชุด Starter Kit ที่รวมสารเคมีจำเป็น เช่น อาหาร MS, วุ้น, ฮอร์โมนพื้นฐาน, PPM มาให้ ซึ่งสะดวกสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ต้องตรวจสอบเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดและการนำเข้า.   


  • อุปกรณ์อื่นๆ:

    • หม้อนึ่งความดัน, ขวดโหลแก้ว, กล่องพลาสติกใส: หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้า (แผนกเครื่องครัว, เครื่องใช้ในบ้าน), ร้านขายส่งเครื่องครัว, หรือร้านค้าออนไลน์ทั่วไป.

    • แอลกอฮอล์ 70%, น้ำยาฟอกขาว, น้ำตาลทราย, ถุงมือยาง, หน้ากากอนามัย: หาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยา, ซุปเปอร์มาร์เก็ต, หรือร้านสะดวกซื้อ.

    • น้ำกลั่น: ร้านขายยา หรือร้านขายอุปกรณ์การแพทย์.

    • ปากคีบยาว, ใบมีด/คัตเตอร์: ร้านเครื่องเขียน, ร้านอุปกรณ์การเรียน, ร้านอุปกรณ์การแพทย์, หรือร้านค้าออนไลน์.

    • ตู้ปลอดเชื้อสำเร็จรูป (แบบง่าย): มีขายใน Shopee, Lazada ราคาตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันบาท.   


  • ข้อควรระวังในการซื้อ:

    • อ่านรายละเอียด: ตรวจสอบส่วนผสม, ปริมาณ, วันหมดอายุ (สำหรับสารเคมี), และคำแนะนำการใช้งานให้ละเอียด.

    • เช็ครีวิว: อ่านความคิดเห็นจากผู้ซื้อคนอื่นๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ.

    • เปรียบเทียบราคา: ราคาอาจแตกต่างกันในแต่ละร้านค้า.

    • การเก็บรักษา: เมื่อซื้อสารเคมีมาแล้ว ควรเก็บรักษาตามคำแนะนำบนฉลาก (เช่น เก็บในที่แห้ง, เย็น, หรือในตู้เย็น).   

    • การสั่งซื้อจากต่างประเทศ: ต้องคำนึงถึงค่าขนส่ง, ระยะเวลาในการจัดส่ง, ภาษีนำเข้าที่อาจเกิดขึ้น, และกฎระเบียบเกี่ยวกับการนำเข้าสารเคมีหรือพืช (บางชนิดอาจถูกจำกัดหรือห้ามนำเข้า).   


8. ก้าวแรกสู่โลกแห่งการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ


การเดินทางเข้าสู่โลกของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชที่บ้านนั้น เป็นการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และความอดทน แม้จะมีความท้าทายรออยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการรักษาความสะอาดและสภาพปลอดเชื้ออย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สุด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝันสำหรับผู้ที่สนใจและตั้งใจจริง.   


บทความนี้ได้ปูพื้นฐานให้เห็นภาพรวม ตั้งแต่หลักการเบื้องต้น, ความสำคัญอย่างยิ่งยวดของเทคนิคปลอดเชื้อ, อุปกรณ์พื้นฐานที่หาได้ไม่ยาก (รวมถึงทางเลือก DIY ที่ประหยัด), ขั้นตอนการปฏิบัติอย่างง่ายสำหรับมือใหม่, ข้อควรระวังและเคล็ดลับต่างๆ ไปจนถึงการเลือกพืชที่เหมาะสมและการหาแหล่งซื้อวัสดุอุปกรณ์.

หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นเหมือนแผนที่นำทาง ช่วยให้คุณเริ่มต้นก้าวแรกได้อย่างมั่นใจมากขึ้น. แม้ว่าการทดลองครั้งแรกๆ อาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบ อาจเจอการปนเปื้อนบ้าง หรือเนื้อเยื่ออาจจะยังไม่เติบโตอย่างที่หวัง ขออย่าเพิ่งท้อถอย. ทุกความผิดพลาดคือบทเรียนอันมีค่าที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในครั้งต่อไป.   


จำไว้ว่า ความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชที่บ้านนั้นอยู่ที่ ความใส่ใจในรายละเอียด, ความพิถีพิถันในการรักษาความสะอาด ในทุกๆ ขั้นตอน และ ความอดทน ที่จะรอคอยการเติบโตอย่างใจเย็น. ขอให้ทุกท่านสนุกกับการทดลอง "โคลนนิ่ง" พืชต้นโปรดด้วยฝีมือของคุณเองนะครับ!


แหล่งข้อมูลอ้างอิง


Comentarios

Obtuvo 0 de 5 estrellas.
Aún no hay calificaciones

Agrega una calificación
bottom of page